วันอาทิตย์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2555

5 ภาษา ที่อ่านยากที่สุดในโลก


1.ภาษาจอร์เจีย

ภาษาจอร์เจีย หรือ ภาษาคาร์ตเวเลียน (จอร์เจียKartuliอังกฤษGeorgian, Kartvelian) เป็นภาษาทางการของประเทศจอร์เจีย ซึ่งเป็นสาธารณรัฐในเทือกเขาคอเคซัส เป็นภาษาหลักของประชากรประมาณ 4,000,000 คนในประเทศจอร์เจียเอง (คิดเป็น 83% ของประชากร) และอีก 3.4 ล้านคนในประเทศอื่น ๆ (ส่วนใหญ่ใน ตุรกีรัสเซียสหรัฐอเมริกายุโรป และชุมชนขนาดเล็กในอิหร่านและอาเซอร์ไบจาน) เป็นภาษาทางวรรณกรรมสำหรับ กลุ่มชนชาติทางมานุษยวิทยาของชาวจอร์เจียทั้งหมด โดยเฉพาะคนที่พูดภาษาคอเคซัสใต้ภาษาอื่น ๆ ได้แก่ชาวสวาน (Svan), ชาวเมเกรเลียน (Megrelian), และลาซ (Laz)

2.ภาษาสิงหล

ภาษาสิงหล (สิงหลසිංහල) เป็นภาษาของชาวสิงหล ซึ่งเป็นกลุ่มชนพื้นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศศรีลังกา เป็นภาษาในสาขาอินโด-อารยันของตระกูลอินโด-ยูโรเปียน มีสัมพันธ์ใกล้ชิดกัยภาษาดิเวฮิของประเทศมัลดีฟส์ มีคนพูดเป็นภาษาแม่ประมาณ 15 ล้านคน
เจ้าชายวิชายาและพรรคพวกนำชาวสิงหลอพยพเข้าสู่เกาะลังกาเมื่อราว 500 ปีก่อนพุทธศักราช วรรณคดีจำนวนมากในศรีลังกาได้รับอิทธิพลจากพุทธศาสนา และวรรณคดีอินเดีย การติดต่อกับชาวทมิฬทำให้มีศัพท์ภาษาทมิฬปนอยู่ นอกจากนี้ยังมีคำยืมจากภาษาดัตช์ภาษาโปรตุเกส และภาษาอังกฤษ เป็นจำนวนมากเพราะเคยถูกปกครองโดยชาติเหล่านี้ เขียนด้วยอักษรสิงหลที่พัฒนามาจากอักษรพราหมี
รัฐบาลศรีลังกาประกาศให้ภาษาสิงหลเป็นภาษาราชการเมื่อปี พ.ศ. 2499 และบังคับให้โรงเรียนทุกโรงเรียนสอนหนังสือด้วยภาษาสิงหล ทำให้ชาวทมิฬ ไม่พอใจ

3.ภาษาทมิฬ

ภาษาทมิฬ (ทมิฬதமிழ்) เป็นหนึ่งใน ตระกูลภาษาดราวิเดียน เป็นหนึ่งในภาษาคลาสสิกของโลก วรรณกรรมภาษาทมิฬได้มีมาเป็นเวลา 2,500 ปีแล้ว และเป็นภาษาคลาสสิกภาษาแรกที่มีพัฒนาการเขียนแบบเฉพาะสำหรับบทกวี

4.ภาษาไทย

5.ภาษาอาร์เมเนีย

ภาษาอาร์เมเนียเป็นภาษากลุ่มอินโด-ยูโรเปียน ที่พูดในเทือกเขาคอเคซัส (โดยเฉพาะในประเทศอาร์เมเนีย) และใช้โดยชุมชนชาวอาร์เมเนียในต่างประเทศ เป็นแขนงย่อยของตัวเองในภาษากลุ่มอินโด-ยูโรเปียน โดยที่ไม่มีภาษาที่ใกล้เคียงที่ยังคงใช้อยู่ในปัจจุบัน ในปัจจุบัน มีหลายคนเชื่อว่าภาษาอาร์เมเนียเป็นภาษาที่สัมพันธ์ใกล้เคียงกับภาษาฟรีเจียน (Phrygian) ที่สูญพันธุ์ จากภาษาที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน ภาษากรีกน่าจะมีความสัมพันธ์ที่ใกล้เคียงทีสุดกับภาษาอาร์เมเนีย ภาษาอาร์เมเนียมีคำยืมจากภาษาเปอร์เซีย ซึ่งเป็นภาษากลุ่มอินโด-ยูโรเปียนด้วย

วันอังคารที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2555



présenté


Bonjour. je m' appelle Parisa  MAKEW. j ' ai 16 ans .je  suis  thailandaise. je suis élève à l' école  Rachineeburana. je vais à l' école en minibus. j' habite à Nakhon Pathom .   Il y a cinq personnes dans ma famille. j' ai deux petite frère. je suis fille unique. j' aime musique . je deteste le math.

วันอาทิตย์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2555

กลับมาอีกครั้ง วันนี้จะพาไปทำของว่างกินเล่นค้า!!



                             กล้วยหวานเย็นเคลือบบช็อกโกแล็ต 

                                

ส่วนผสม

กล้วย (ลูก
ช๊อกโกแลต (Semi sweet chocolate) 1 ถ้วย
น้ำมันคาโนลา (1 ช้อนชา
เกล็ดน้ำตาลหลากสี



1. ตัดกล้วยแบ่งครึ่งตามยาว ให้ได้สี่ชิ้น แล้วเสียบไม้ไอติม ดังรูป
              




2. นำกล้วยแช่ช่องแช่แข็ง 
3. เตรียมช็อกโกแลต นำช๊อกโกแลตใส่ถ้วยแล้วอุ่นให้ละลาย 

              


4. เมื่อกล้วยแข็งได้ที่แล้วนำกล้วยมาจุ่มลงในช็อกโกแลต โรยเกล็ดน้ำตาลหลากสี แล้วนำไปแช่เย็นสักครู่เพื่อรอให้ช็อกโกแลตแข็ง
5. จะได้กล้วยหวานเย็นเคลือบช็อกโกแลตแสนอร่อยพร้อมรับประทาน

วันจันทร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2555


  





 "เกาะเกร็ด" เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อในจังหวัดนนทบุรี รู้จักกันดีในฐานะแหล่งชุมชนคนมอญที่มีชื่อเสียงในเรื่องของเครื่องปั้นดินเผา และประเพณีวัฒนธรรมแบบพื้นบ้านดั้งเดิม ที่ยังคงอนุรักษ์ไว้ได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการจุดลูกหนู งานตักบาตรทางน้ำ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม หลายปีให้หลังมานี่ การท่องเที่ยวเกาะเกร็ดดูเหมือนจะเจริญเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ปกติถ้าไปเที่ยวในวันเสาร์ – อาทิตย์ รวมถึงวันหยุดนักขัตฤกษ์ บนเกาะจะคราคร่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวมากมาย ร้านค้า ร้านอาหารก็ดูจะคึกคักสุดๆ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่มาเที่ยวบนเกาะเกร็ด ก็จะมีทั้งมาเดินเที่ยว ช้อปปิ้ง หาของอร่อยๆ กิน บ้างก็เลือกนั่งเรือชมรอบเกาะ ทำเอาเพลิดเพลินใจไปอีกแบบ ทั้งนี้ เกาะเกร็ดจะเปิดเวลาประมาณ 9.00 - 17.30 น.

          แต่ก่อนจะไปเที่ยว เรามาทำความรู้จักกับ "เกาะเกร็ด" กันให้มากขึ้นกว่านี้หน่อยดีกว่า... เกาะเกร็ด เกิดขึ้นจากการขุดคลองลัดแม่น้ำเจ้าพระยา ตรงส่วนที่เป็นแหลม ในสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ แห่งกรุงศรีอยุธยาเมื่อปี พ.ศ. 2265 เรียกว่า "คลองลัดเกร็ดน้อย" ในจังหวัดนนทบุรี (คลองลัดเกร็ดใหญ่อยู่ที่จังหวัดปทุมธานี ขุดลัดแม่น้ำเจ้าพระยาตอนท้ายอำเภอสามโคกมาทางใต้ถึงคลองขวางเชียงราก) ต่อมากระแสน้ำเปลี่ยนทิศทางแรงขึ้น เซาะตลิ่งทำให้คลองขยาย แผ่นดินตรงแหลมจึงกลายเป็นเกาะ ชื่อเดิมเรียกว่า "เกาะศาลากุน"
          "เกาะเกร็ด" มีความเจริญรุ่งเรืองมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา สังเกตได้จากวัดวาอารามต่างๆ บนเกาะส่วนใหญ่จะเป็นศิลปะในสมัยศรีอยุธยา แต่คงจะมาร้างคนเมื่อพม่ามายึดกรุงศรีอยุธยา หลังจากกอบกู้เอกราชได้ พระเจ้าตากสินมหาราชจึงโปรดให้ชาวมอญมาตั้งถิ่นฐานที่นี่ โดยชาวมอญบนเกาะเกร็ดนั้น มีทั้งที่เข้ามาในสมัยกรุงธนบุรี และสมัยรัชกาลที่ 2 ต่อมาเมื่อตั้งอำเภอปากเกร็ดขึ้นแล้ว "เกาะศาลากุน" จึงมีฐานะเป็นตำบล และเรียกว่า ตำบลเกาะเกร็ด เกาะนี้จึงมีชื่อว่า "เกาะเกร็ด"

          ฮั่นแน่... เป็นอย่างไรกันบ้างคะ ประวัติของที่นี่น่าสนใจไม่เบาเลยใช่ไหมล่ะ แต่ขอบอกว่า นอกจากประวัติความเป็นมาจะน่าสนใจแล้วเนี่ย ที่ "เกาะเกร็ด" ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจอีกเพียบ ถ้าอยากรู้ว่ามีที่ไหนบ้าง เราไปดูพร้อมๆ กันเลย...
          เริ่มกันที่วัดซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์ของเกาะเกร็ดไปแล้ว นั่นคือ "วัดปรมัยยิกาวาส" (วัดปากอ่าว) ในวัดนี้มีสิ่งที่น่าชมอยู่หลายอย่าง ที่ท่าเรือหน้าวัดจะพบปราสาทไม้ห้ายอด ซึ่งเคยเป็นที่ตั้งเหม (โลงศพมอญ) ของอดีตเจ้าอาวาส ตั้งตระหง่านอยู่ ส่วนพระอุโบสถมีการตกแต่งด้วยวัสดุนำเข้าจากอิตาลี ศิลปะยุโรปแบบพระราชนิยมในสมัยรัชกาลที่ 5 แต่กระนั้นพระองค์ยังรักษาธรรมเนียมเดิม โดยรับสั่งให้ที่นี่ริเริ่มการสวดเป็นภาษามอญ และปัจจุบัน ที่นี่เป็นวัดเดียวที่ยังเก็บรักษาพระไตรปิฏกภาษามอญไว้ พระประธานในพระอุโบสถนั้นเป็นพระปางมารวิชัย ฝีพระหัตถ์ของพระองค์เจ้าประดิษฐานวรการ ผู้ที่สร้างพระสยามเทวาธิราช รัชกาลที่ 5 ทรงยกย่องว่าพระประธานองค์นี้งามด้วยฝีพระพักตร์ดูมีชีวิตชีวาเหมือนคนจริง ด้านหลังพระอุโบสถ มีพระมหารามัญเจดีย์ จำลองแบบมาจากเจดีย์ชเวดากองของพม่า    
เกาะเกร็ด


          พระวิหาร ประดิษฐานพระพุทธไสยาสน์สมัยอยุธยาตอนปลาย ขนาดยาว 9.50 เมตร ภาพจิตรกรรมที่เพดานนั้นแปลกตากว่าที่อื่น เป็นภาพลายปฐมจุลจอมเกล้า หน้าพระวิหารประดับตราพระเกี้ยว เป็นตราประจำพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ด้านหลังพระวิหารประดิษฐานพระพุทธรูปประจำจังหวัดนนทบุรี

          พระนนทมุนินท์ เป็นพระพุทธรูปสมัยอยุธยาตอนปลาย ปางขัดสมาธิเพชร ประดิษฐานอยู่ในบุษบกแบบมอญ (จองพารา) สลักโดยฝีมือช่างที่นี่ ที่มุขเด็จหน้าวิหารประดิษฐานพระพุทธรูปหินอ่อน ซึ่ง ซาง ซิว ซูน ชาวพม่าถวายให้กับรัชกาลที่ 5 พระวิหารเปิดทุกวันตั้งแต่ 9.00 - 16.00 น.

          อย่างไรก็ตาม เอกลักษณ์ของมอญอีกอย่างหนึ่งในวัดนี้ คือ เจดีย์ทรงรามัญที่จำลองแบบมาจากพระธาตุเจดีย์มุเตา เมืองหงสาวดี ซึ่งคนมอญนับถือมาก ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ เนื่องจากเจดีย์อยู่ติดแม่น้ำ กระแสน้ำกัดเซาะฐานราก ทำให้เจดีย์มีลักษณะเอียง ดูแปลกตา นับเป็นสัญลักษณ์อีกอย่างหนึ่งของเกาะเกร็ด   
          ส่วนที่ "พิพิธภัณฑ์วัดปรมัยยิกาวาสและหอไทยนิทัศน์เครื่องปั้นดินเผา" จะจัดแสดงวัตถุต่างๆ ที่ล้วนน่าชม เช่น พระพิมพ์ เครื่องแก้ว เครื่องถ้วยชาม รวมทั้ง "เหม" ที่ พ.อ. ชาติวัฒน์ งามนิยม บรรจงสร้างขึ้น จนนับว่าเป็นงานศิลป์ชิ้นเยี่ยมชิ้นหนึ่งเลยทีเดียว นับตั้งแต่การออกแบบโครงสร้าง การต่อลาย การตอกไข่ปลาเพื่อต่อลายบนกระดาษอลูมิเนียม ทุกชิ้นส่วนที่นำมาประกอบเป็นเหมนี้ ล้วนแต่ต้องทำอย่างละเอียด ประณีต เชื่อว่าชาวมอญคงดัดแปลงลักษณะของเหมมาจากโลงของพระพุทธเจ้า ซึ่งก้นสอบปากบานข้างแคบเช่นกัน (ในพิพิธภัณฑ์แสดงภาพไว้) โลงเหมใช้กับศพแห้ง เหมพระ จะมีลักษณะพิเศษกว่าตรงที่เจาะหน้าต่างมองเห็นศพด้านในได้ ทั้งนี้ ในวันจันทร์ – ศุกร์ เปิดเวลา 13.00 - 16.00 น. วันเสาร์ – อาทิตย์ เปิดเวลา 9.00 - 16.30 น.
วัดเสาธงทอง

วัดเสาธงทอง

          "วัดเสาธงทอง" เป็นวัดเก่า เดิมชื่อ "วัดสวนหมาก" นอกจากเป็นที่ตั้งโรงเรียนประถมแห่งแรกของอำเภอปากเกร็ดแล้ว ด้านหลังโบสถ์ยังประดิษฐานเจดีย์ที่สูงที่สุดของอำเภอปากเกร็ดด้วย พระเจดีย์เป็นศิลปะอยุธยาย่อมุมไม้สิบสอง มีเจดีย์องค์เล็กเป็นบริวารโดยรอบอีก 2 ชั้น ส่วนด้านข้างโบสถ์มีเจดีย์องค์ใหญ่อีก 2 องค์ องค์หนึ่งเป็นเจดีย์ทรงระฆังหรือทรงลังกา อีกองค์หนึ่งเป็นเจดีย์ทรงมะเฟือง ภายในโบสถ์มีลายเพดานสวยงามมาก เขียนลายทองกรวยเชิงอย่างงดงาม พระประธานเป็นพระปางมารวิชัยปูนปั้นขนาดใหญ่ คนมอญเรียกวัดนี้ว่า “เพี๊ยะอาล๊าต” หน้าโบสถ์มีเจดีย์ขนาดย่อมสององค์ รูปทรงคล้ายมะเฟือง ฐานสี่เหลี่ยมย่อมุมสิบสอง ประดับลายปูนปั้น
         
          "วัดไผ่ล้อม" สร้างสมัยอยุธยาตอนปลาย มีโบสถ์ที่งดงามมาก ลายหน้าบันจำหลักไม้เป็นลายดอกไม้ มีคันทวยและบัวหัวเสาที่งดงามเช่นกัน คนมอญเรียกวัดนี้ว่า "เพี๊ยะโต้"

          "วัดฉิมพลีสุทธาวาส" มีโบสถ์ขนาดเล็กงดงามมาก และยังมีสภาพสมบูรณ์แบบดั้งเดิม หน้าบันจำหลักไม้เป็นรูปเทพทรงราชรถ ล้อมรอบด้วยลายดอกไม้ ซุ้มประตูเป็นทรงมณฑป ซุ้มหน้าต่างแบบหน้านาง ยังคงเห็นความงามอยู่ และฐานโบสถ์โค้งแบบเรือสำเภา  
เกาะเกร็ด
เกาะเกร็ด  เกาะเกร็ด

          "กวานอาม่าน" พิพิธภัณฑ์เครื่องปั้นดินเผา เป็นศูนย์วัฒนธรรมพื้นบ้านชาวมอญ จัดแสดงเครื่องปั้นดินเผามอญลายโบราณ การปั้นเครื่องปั้นดินเผานั้นเป็นอาชีพชาวมอญมาตั้งแต่ครั้งตั้งถิ่นฐานแถบลุ่มแม่น้ำอิรวดี และมีมาตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรี นับเป็นหัตถกรรมพื้นบ้านที่เก่าแก่ที่สุดในจังหวัดนนทบุรี ลวดลายประณีตสวยงามเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ และยังเป็นสัญลักษณ์ตราประจำจังหวัดนนทบุรี สองข้างทางเดินบนเกาะมีบางบ้านที่ทำเครื่องปั้นดินเผา ภาชนะของใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น กระถาง ครก โอ่งน้ำ ฯลฯ เปิดให้เข้าชมทุกวัน ระหว่างเวลา 09.00 – 17.00 น. ทั้งนี้ สามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่ โทร.0-2584-5086   
เกาะเกร็ด
เกาะเกร็ด

          "คลองขนมหวาน" บริเวณคลองขนมหวานและคลองอื่นๆ รอบเกาะเกร็ด ชาวบ้านที่อาศัยอยู่สองฝั่งคลองจะทำขนมหวาน จำพวกทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง และขนมหวานอื่นๆ อีกมากมาย พร้อมสาธิตวิธีการทำให้นักท่องเที่ยวได้ชม พร้อมซื้อกลับไปเป็นของฝากได้อีกด้วย

          อย่างไรก็ตาม แรงดึงดูดอย่างหนึ่งบนเกาะเกร็ดที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยว เดินทางมาเที่ยวที่นี่ คงหนีไม่พ้นเรื่องของอาหารการกินที่ดูจะหลากหลายมากมายกันจนลายตา (แหม... เห็นแล้วมันน่าหม่ำนักล่ะ) ไม่ว่าจะเป็น "ข้าวแช่" อาหารของชาวมอญ ที่สืบทอดสูตรกันมายาวนาน รับประทานพร้อมเครื่องเคียงครบรสที่มีให้เลือกเพียบ คือ ลูกกะปิทอด, หมูกับปลาเค็มปั้นทอด, ไชโป๊หวาน, ปลาหวาน, พริกหยวกสอดไส้, หัวหอมทอดสอดไส้ และผักชนิดต่างๆ 
          ส่วนใครที่ไปเกาะเกร็ดแล้วไม่ได้รับประทาน "ทอดมันหน่อกะลา" ก็เหมือนไปไม่ถึง เพราะ "ทอดมันหน่อกะลา" ถือเป็นของขึ้นชื่อของที่นี่เลยก็ว่าได้ แถมยังมีให้เลือกซื้อเลือกชิมหลายร้าน ทั้งเจ้าเก่าเจ้าใหม่ เรื่องของรสชาตินั้นไม่ต้องพูดถึง เรียกได้ว่า อร่อยไม่มีใครยอมใครกันเลยทีเดียว นอกจากนี้ ตามร้านค้าสองข้างทางยังมีอาหารอื่นๆ ที่น่าสนใจอีกเพียบ ไม่ว่าจะเป็น ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง ขนมชั้น รวมถึงของคาวอย่าง ห่อหมกปลาช่อน ห่อหมกปลากราย ไข่ปลาทอด ผักทอด พร้อมร้านขายน้ำเก๋ๆ ที่ขายน้ำพร้อมแก้วน้ำกระถาง ปั้นโดยฝีมือคนท้องถิ่นนั่นเอง และที่ขาดไม่ได้เลย คือ ร้ายจำหน่ายเครื่องปั้นดินเผา โอ่ง กระถาง เซรามิกรูปร่างต่างๆ ก็มีให้เลือกซื้อเลือกชมกันอย่างละลานตา... แล้วอย่างนี้จะพลาดได้ไง (อิอิ)

          ทั้งนี้ สำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการล่องเรือรอบเกาะเกร็ดเพื่อชมทัศนียภาพรอบเกาะ สามารถติดต่อได้ที่ท่าเรือวัดปรมัยยิกาวาส โดยเรือจะพาเที่ยวชมวิถีชีวิตริมน้ำ แวะสถานที่ท่องเที่ยวและวัดวาอาราม ได้แก่ วัดใหญ่สว่างอารมณ์ วัดศาลากุน ชมการสาธิตการผลิตเครื่องปั้นดินเผา เข้าคลองบางบัวทองชมการทำขนมหวานที่ขึ้นชื่อของเกาะเกร็ด ซึ่งจะมีเรือออกทุกๆ ชั่วโมง ใช้เวลาประมาณ 1.30 ชั่วโมง เริ่มตั้งแต่เวลา 09.00 - 17.00 น. ค่าเรือท่านละ 50 บาท สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร.0-2584-5012, 08-1845-3800, 08-9033-5599, 08-1584-1900 หรือหากต้องการเช่าเรือ มีตั้งแต่ราคา 350 - 3,000 บาท ขึ้นอยู่กับระยะทางและขนาดของเรือ ใช้เวลาประมาณ 1.30 ชั่วโมง

เกาะเกร็ด
เกาะเกร็ด
เกาะเกร็ด
เกาะเกร็ด
เกาะเกร็ด
เกาะเกร็ด
เกาะเกร็ด

การเดินทาง 
          รถยนต์  
          เดินทางโดยรถยนต์มาที่ห้าแยกปากเกร็ด ตรงไปตามถนนแจ้งวัฒนะ ทางไปเทศบาลปากเกร็ด จากห้าแยกประมาณ 20 เมตร ก่อนถึงโรงหนังเมเจอร์ฮอลลีวู้ด เลี้ยวซ้ายเข้าถนนภูมิเวท ระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตร ถึงวัดสนามเหนือจอดรถทิ้งไว้ที่วัด แล้วนั่งเรือข้ามไปเกาะเกร็ด ไปขึ้นเกาะเกร็ดที่วัดปรมัยยิกาวาส หรือไปที่วัดกลางเกร็ด นั่งเรือข้ามฟากไปขึ้นเกาะเกร็ดที่วัดป่าฝ้าย (เรือข้ามฟากบริการเวลา 05.00 - 21.30 น. ค่าโดยสารคนละ 2 บาท ที่วัดสนามเหนือ มีบริการจัดที่จอดรถรถยนต์สำหรับนักท่องเที่ยว ค่าจอดรถคันละ 30 บาท

          สำหรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางโดยรถประจำทาง ให้ลงรถที่ป้ายโรงหนังเมเจอร์ฮอลลีวูด แล้วนั่งรถจักรยานยนต์รับจ้างไปที่ท่าเรือวัดสนามเหนือหรือวัดกลางเกร็ด ค่าโดยสารประมาณ 10 บาท

          เรือ  
          เดินทางจากกรุงเทพฯ โดยเรือด่วนเจ้าพระยาออกจากท่าวัดสิงขร ลงที่ท่าน้ำจังหวัดนนทบุรี ค่าโดยสารคนละ  22 บาท (เรือทัวร์) จากนั้นเช่าเหมาเรือหางยาวที่ท่าน้ำนนทบุรี ไปที่เกาะเกร็ด หรือนั่งเรือรถประจำทางจากท่านน้ำนนทบุรีไปที่อำเภอปากเกร็ด แล้วลงเรือที่วัดสนามเหนือหรือวัดกลาง เรือบริการระหว่างเวลา 08.30 - 18.30 น. 

วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

โรงเรียน เลอ โรซีย์ โรงเรียนที่แพงที่สุดในโลก


โรงเรียน
โรงเรียน “เลอ โรซีย์ (Le Rosey)” ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็น “ โรงเรียนที่แพงที่สุดในโลก ” โดยมีอัตราค่าเล่าเรียนสูงถึงปีละ $113,000 หรือเกือบ 3.6 ล้านบาท
สวิตเซอร์แลนด์ เป็นประเทศที่มี โรงเรียน เอกชนแพง เป็นอันดับต้นๆ ของโลกหลายแห่ง และมี โรงเรียน เอกชน แบบกินนอนหรือ โรงเรียน ประจำ 3 แห่งที่มีค่าเล่าเรียนสูงกว่า $100,000 (กว่า 3.1 ล้านบาท) ต่อปี หนึ่งในนั้นก็คือ  ” เลอ โรซีย์ (Le Rosey) ” ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น “ สคูล ออฟ คิงส์ (School of Kings)
โรงเรียน
“เลอ โรซีย์” เป็น โรงเรียน เอกชนประเภทกินนอนที่เก่าแก่และใหญ่สุดในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ทั้งยังเป็นหนึ่งในโรงเรียน เอกชนที่ได้รับการยอมรับนับถือมากที่สุดในโลก โรงเรียน ดังกล่าวก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1880 (พ.ศ. 2423) บนที่ตั้งของปราสาทสมัยศตวรรษที่ 14 ริมทะเลสาบเจนีวา  ที่มีชื่อว่า ”ชาโต ดู โรซีย์”  ซึ่งตั้งอยู่ในรัฐโว และมีเนื้อที่กว้างขวางมากถึง 28 เฮคเตอร์ (175 ไร่)
“เลอ โรซีย์” เป็น โรงเรียน ประจำแห่งเดียวในโลกที่มีการย้ายสถานที่เรียนตามฤดูกาล โดยในช่วงฤดูใบไม้ผลิถึงฤดูใบไม้ร่วง จะเปิดทำการเรียนการสอนที่ปราสาท ”ชาโต ดู โรซีย์” (อยู่ระหว่างกรุงเจนีวาและเมืองโลซาน)ส่วนในช่วงฤดูหนาว (มกราคม-มีนาคม) จะย้ายไปเรียนที่เมืองสกีรีสอร์ท “สตาด (Gstaad)” ในรัฐเบิร์น
โรงเรียน
          โรงเรียนที่แพงที่สุดในโลก แห่งนี้เป็นศูนย์รวมของลูกเศรษฐี ดารานักร้อง คนดัง และเหล่าเชื้อพระวงศ์จากทั่วโลก  แม้แต่ อากา ข่าน, พระเจ้าอัลเบิร์ตที่ 2 แห่งเบลเยี่ยม, เจ้าชายเรเนียร์ แห่งโมนาโก, พระเจ้าฟูอัดที่ 2 แห่งอียิปต์ ตลอดจนเหล่าเชื้อพระวงศ์ในแถบตะวันออกกลาง ก็เคยเป็นศิษย์เก่าของที่นี่ แต่ใช่ว่ามีเงินแล้วจะเข้าเรียนได้ทันที เพราะ โรงเรียน แห่งนี้จะรับนักเรียนที่มาจากประเทศเดียวกัน (หรือมาจากกลุ่มประเทศที่ใช้ภาษาเดียวกัน) ไม่เกินร้อยละ 10  เพื่อให้เป็น โรงเรียน นานาชาติที่มีวัฒนธรรมหลากหลายอย่างแท้จริง
โรงเรียน
โรงเรียน แห่งนี้มีนักเรียนทั้งสิ้นประมาณ 400 คน จาก 58 ประเทศทั่วโลก และมีเจ้าหน้าที่ทั้งหมด 160 คน (ในจำนวนนี้เป็นครู 90 คน) นักเรียนของที่นี่มีอายุตั้งแต่ 7-18 ปี โดยแต่ละชั้นจะมีนักเรียนไม่ถึง 10 คน และแบ่งการเรียนการสอนออกเป็น 2 ภาษาหลักๆ คือ ภาษาอังกฤษและฝรั่งเศส แต่ก็มีภาษาอื่นๆ ให้เลือกเรียนเพิ่มเติมอีกมากกว่า 20 ภาษา
นอกจากเนื้อหาด้านวิชาการแล้ว โรงเรียนที่แพงที่สุดในโลก แห่งนี้ยังมีสปอร์ตคลับที่สอนกีฬาชนิดต่างๆ อาทิ กอล์ฟ, เทนนิส, ยิงปืน, ยิงธนู, ขี่ม้า, พายเรือ, ดำน้ำ, สกี, เต้นรำ  ฯลฯ พร้อมทริปท่องเที่ยว ชมกีฬา และการแสดงศิลปวัฒนธรรมในประเทศแถบยุโรป ตลอดจนทัวร์วัฒนธรรม เยี่ยมชม มหาวิทยาลัย และทริปอาสาสมัครในประเทศอื่นๆ ที่อยู่นอกทวีปยุโรปอีกด้วย โรงเรียน
โรงเรียน
โรงเรียน
โรงเรียน
โรงเรียน
โรงเรียน

วันเสาร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เต็กกอ





                                         


นายเต็กกอ เป็นคนจังหวัดนครปฐม ปัจจุบันอายุ 60 ปีเศษ บิดามารดา เป็นคนจีน ประกอบอาชีพกิจการโต๊ะจีน  
ได้ถ่ายทอดวิชาการปรุงอาหารให้กับเต็กกอตั้งแต่สมัยยังเต็กกอยังเด็ก ประกอบกับอุปนิสัยส่วนตัว เป็นคนขยัน หมั่นเพียร มีความอดทน มีความทะเยอทะยาน ต้องการความก้าวหน้า  มีความคิดที่ไม่เหมือนกับบุคคลอื่น ๆ ทั่วไป จึงสามารถรับ
วิชาการประกอบอาหารจากบิดามารดาได้ทุกเม็ด ไม่มีหลุดเลย และได้ประยุกต์ คิดค้น ลูกชิ้นหมู ภายใต้ชื่อ ลูกชิ้นเต็กกอ จนมีชื่อเสียงกระฉ่อนทุกวันนี้ และมีสาขาทั่วประเทศ และนอกเหนือจากการประกอบอาหารแล้ว ยังสามารถสร้างครอบครัวขนาดใหญ่ภายใต้ภรรยา 7คน ลูก 21คน ซึ่งเป็นที่ทราบกันทั่วและเป็นเอกลักษณ์ เมื่อมีการกล่าวถึงชื่อ เต็กกอ ทุกคนจะนึกถึงภรรยามาก ๆ ผู้ชายก็จะอิจฉาส่วนผู้หญิงก็หมั่นใส้และแปลกใจในการบริหารเวลาและความสามัคคี ไม่เฉพาะในประเทศไทยที่ทราบ ต่างประเทศ ก็ทราบเป็นจำนวนมาก จึงได้ทาบทามให้ถ่ายถอดความรู้ในเรื่องการบริหารครอบครัวใหญ่และคนจำนวนมาก 
โดยนิสัยส่วนตัว คุณเต็กกอเป็นบุคคลที่ชอบคิดค้นสิ่งใหม่ ๆ และแปลกกว่าบุคคลอื่นเสมอ และ 2 ปีที่ผ่านมานี้ 
หลาย ๆ คนอาจยังไม่ทราบว่าคุณเต็กกอ ได้พบสิ่งประหลาดในสวนของตนเอง ซึ่งเป็นมะม่วงพันธุ์แปลกประหลาด ซึ่งไม่เหมือนมะม่วงที่มีอยู่ปัจจุบันนี้ คุณเต็กกอจึงได้ทำการจดทะเบียน ภายใต้ชื่อ มะม่วงพันธุ์เต็กกอ 


เต็กกอ เกิดมาจากครอบครัวที่ไม่ได้ร่ำรวย พ่อแม่ทำอาหารโต๊ะจีน ได้รับการถ่ายทอดวิธีทำอาหารต่าง ๆ ต่อมาโต๊ะจีนเริ่มมีการแข่งขันแข่งขันมากขึ้น บวกกับว่าจังหวัดนครปฐม ขึ้นชื่อเรื่องการเลี้ยงสุกร ผมจึงได้คิดขยายการค้า และเริ่มมองวัตถุดิบที่หาได้ง่ายในนครปฐม คือ สุกร หรือเนื้อหมูนั่นเอง จึงเกิดการทำลูกชิ้นหมู ลองผิดลองถูกในการปรุง จนได้รสชาติที่ถูกปากคนกิน ถูกหลักอนามัยซึ่งไม่เหมือนลูกชิ้นที่อื่นทั่วไป และส่งไปตามสาขาทั่วประเทศไม่ลูกจ้างหรือคนงานเลยสักคนเดียว แต่ผมมีภรรยา 7 คน และลูก ๆ ช่วยกันทำ ไม่มีโรงงาน เราทำ
กิจการลูกชิ้นที่บ้านและช่วยเหลือกันลูกทุก ๆ คนไม่เคยทะเลาะกัน ผมบอกกับภรรยาทุกคน ตั้งแต่เรื่มตั้งท้องลูกคนแรก ว่าให้คิดว่าเด็กในท้องไม่ใช่ลูก แต่เป็นเด็กทั่วไป เพราะถ้าเขาสามารถคิดว่าลูกในท้องเป็นเด็กทั่วไป เขาก็จะรักเด็กทุกคนเท่ากันหมด ไม่ว่าจะเจอลูกใคร เขาก็รักเหมือนกัน ผมจะใช้ความจริงใจการดำเนินธุรกิจการค้า ไม่มีการโกหก และสอนให้ลูก ๆ ยึดหลักการบริหารและจริงใจต่อลูกค้า การบริหารธุรกิจประเภออาหาร ผมสอนลูกเสมอว่า ถ้าธุรกิจประเภทอาหารจะอยู่และเติบโตได้ ต้องขายคนอยาก อย่าขายคนหิว หมายความว่า คนที่อยากทานและชอบการบริการของร้านเรา ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ไกลเพียงใด ก็ต้องดิ้นรนไปทานให้ได้ ส่วนคนที่หิว ไม่ว่าเจออะไร อร่อยหรือไม่เพียงใด  เค้าก็ต้องกินไม่เลือก    

                ลูกชิ้นปลากรายลวกจิ้ม 
  

เฟอร์ดินานด์ มาเจลลัน  ฟีร์เนา ดี มากาลไยช์ หรือ เฟร์นันโด เด มากายาเนส 
เป็นนักเดินเรือชาวโปรตุเกส มีชีวิตอยู่ตรงกับรัชสมัยสมเด็จพระไตรโลกนาถและสมเด็จพระ-
รามาธิบดีที่2 แห่งกรุงศรีอยุธยา เขาเกิดที่เมืองซาบรอซา ทางภาคเหนือของประเทศโปรตุเกส 
หลังจากรับราชการทหารที่อินเดียตะวันออกและโมร็อกโก มาเจลลันได้เสนอตัวทำงานให้พระเจ้า
ชาลส์ที่ 1 แห่งสเปนเพื่อค้นหาเส้นทางเดินเรือทางทิศตะวันตกสู่ "หมู่เกาะเครื่องเทศ" (หมู่เกาะ
โมลุกกะในประเทศอินโดนีเซียในปัจจุบัน) เขาจึงได้รับสัญชาติสเปนด้วยมาเจลลันได้เดินเรือออก
จากเมืองเซบียาในปี พ.ศ. 2062 การเดินทางในช่วง พ.ศ. 2062-2065 ของเขาเป็นการเดินเรือ
จากมหาสมุทรแอตแลนติกเข้าสู่มหาสมุทรที่มาเจลลันตั้งชื่อว่า "แปซิฟิกเป็นครั้งแรก และยัง
เป็นการเดินทางรอบโลกครั้งแรกอีกด้วย แต่ตัวมาเจลลันเองไม่ได้เป็นผู้นำการเดินเรือรอบโลก
ตลอดเส้นทาง เนื่องจากถูกชนพื้นเมืองฆ่าตายที่เกาะมักตันในหมู่เกาะฟิลิปปินส์เสียก่อน 
(อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้มาเจลลันเคยเดินทางจากยุโรปไปทางตะวันออกสู่คาบสมุทรมลายูมา
แล้ว จึงเป็นนักสำรวจคนแรก ๆ ที่เดินทางข้ามเส้นเมอริเดียนเกือบทุกเส้นบนโลก) จากลูกเรือ 
237 คนที่ออกเดินทางไปกับเรือ 5 ลำ มีเพียง 18 คนที่สามารถเดินเรือรอบโลกได้สำเร็จและกลับ
ไปสเปนได้ในปี พ.ศ. 2065[1][2] นำโดยควน เซบัสเตียน เอลกาโน นักเดินเรือชาวบาสก์ซึ่งทำ
หน้าที่บัญชาการเดินเรือแทนมาเจลลัน ส่วนลูกเรือลำอื่น ๆ อีก 16 คนมาถึงสเปน
ในภายหลัง โดย 12 คนในจำนวนนี้ถูกโปรตุเกสคุมตัวที่หมู่เกาะเคปเวิร์ดระหว่าง พ.ศ. 2
068-2070 และอีก 4 คนเป็นผู้รอดชีวิตจากเรือตรีนีดัดที่เดินทางไปด้วย แต่เรือแตกในหมู่เกาะ-
โมลุกกะ ชื่อของมาเจลลันยังถูกนำไปตั้งเป็นชื่อของ "เพนกวินมาเจลลัน" ซึ่งเชื่อกันว่าเขาเป็น
ชาวยุโรป คนแรกที่ค้นพบ เมฆมาเจลลัน ซึ่งเขาสังเกตเห็นระหว่างการเดินเรือ ปัจจุบันเป็นที่ทราบ
กันแล้วว่าที่จริงเมฆนี้เป็นกลุ่มดาราจักรแคระใกล้กับดาราจักรทางช้างเผือก, "ช่องแคบมาเจลลัน
เส้นทางที่มาเจลลันใช้เดินเรือเข้าสู่มหาสมุทรแปซิฟิก และ "ยานมาเจลลัน" ยานสำรวจที่องค์การ
นาซาส่งไปสำรวจดาวศุกร์ในช่วงปี พ.ศ. 2533-2534

วันอังคารที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เป๊ปซี่เลิกผลิต

เป๊ปซี่เลิกผลิต

น้ำอัดลม

เสริมสุข เลิกผลิต เป๊ปซี่ ตั้งแต่ 1 พ.ย. นี้เป็นต้นไป ดันน้ำอัดลมแบรนด์ใหม่สู้โค้กแทน ขณะที่ เป๊ปซี่ ยังหาฐานการผลิตในไทยไม่ได้ คาด ขาดตลาดไปอีก 8 เดือน         จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของตลาดน้ำอัดลมในประเทศไทยกำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อ บริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) กำลังจะหมดสัญญาการจัดจำหน่ายเครื่องดื่ม "เป๊ปซี่" ในวันที่ 31 ตุลาคมนี้ ดังนั้น ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 เป็นต้นไป บริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) จะไม่ได้ผลิต "เป๊ปซี่" ให้กับบริษัท เป๊ปซี่-โคล่า (ประเทศไทย) จำกัด อีกต่อไปแล้ว โดยจะหันไปปั้นน้ำอัดลมแบรนด์ใหม่ออกมาช่วงชิงส่วนแบ่งทางการตลาดกับ โคคา โคล่า คู่แข่งรายสำคัญ ซึ่งคาดว่าจะเปิดตัวในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน
         ทั้งนี้ เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจ รายงานว่า ในช่วงเดือนที่ผ่านมา บริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) ได้ให้พนักงานแจ้งแก่ร้านอาหาร และร้านค้าต่าง ๆ ล่วงหน้าแล้วว่า จะไม่มี "เป๊ปซี่" มาวางจำหน่ายอีกต่อไปแล้วตั้งแต่สิ้นเดือนนี้ แต่จะนำน้ำอัดลมยี่ห้อใหม่มาจำหน่ายแทน อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ก็มองว่า ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ที่จะผลักดันแบรนด์ใหม่ให้ติดตลาดได้ เหมือนกับ "เป๊ปซี่" ที่ บริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) สามารถใช้ยุทธวิธีกระจายสินค้า พร้อมกับการทำเทรดโปรโมชั่น จนดันน้ำอัดลม "เป๊ปซี่" ที่มียอดจำหน่ายเป็นอันดับ 2 ของโลก ให้กลายเป็นน้ำอัดลมที่มียอดจำหน่ายมากที่สุดในประเทศไทย โดยครองสัดส่วนในตลาดประเทศไทยไม่ต่ำกว่า 70% คว่ำ "โค้ก" ผู้นำในตลาดโลกอย่างขาดลอย

         ขณะที่น้ำอัดลม "เป๊ปซี่" นั้น จนถึงขณะนี้ บริษัท เป๊ปซี่-โคล่า (ประเทศไทย) ก็ยังไม่สามารถหาฐานการผลิตใหม่ที่จะมาผลิตน้ำอัดลมแทน บริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) ได้ ล่าสุดจึงมีการแจ้งแก่ลูกค้าว่า น้ำอัดลม "เป๊ปซี่" ในเมืองไทยอาจจะขาดตลาดไปอีกประมาณ 8 เดือน หลังจาก บริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) ยกเลิกการผลิตตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายนเป็นต้นไป

วันอังคารที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

Three Gorges Dam


เขื่อน ที่ ใหญ่ที่สุดในโลก
เขื่อน ที่ ใหญ่ที่สุดในโลก ( Biggest Dam )
Three Gorges Dam เป็นเขื่อนผลิตกระแสไฟฟ้า ที่ ใหญ่ที่สุดใลก ก่อสร้างกั้นแม่น้ำแยงซี(Yangtze) ในจังหวัดฮูไบ(Hubei) ของประเทศจีน(China)

ข้อมูลเฉพาะ เขื่อน Three Gorges Dam เขื่อนที่ใหญ่ที่สุดในโลก

  • เรื่มก่อสร้างเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 1994
  • โครงสร้างเขื่อนสร้างเสร็จเมื่อปี 2006
  • ขณะนี้เขื่อนอยู่ระหว่างติดตั้งเครื่องกำเนิดไฟฟ้า(Generator) ขนาด 700 เมกะวัตท์ (MW) รวมทั้งสิ้น 32 เครื่อง คาดว่าจะผลิตกระแสไฟฟ้าได้ 22,500 MW
เขื่อนผลิตกระแสไฟฟ้า ที่ ใหญ่ที่สุดในโลก เขื่อนใหญ่
แน่นอนเมื่อเป็นเขื่อนผลิตกระแสไฟฟ้าก็ต้องมีเครือง Generator ซ้ายเป็นหลุมสำหรับติดตั้งเครื่อง Generator ( เครื่องผลิตกระแสไฟฟ้า ) รูปขวาเป็นรูปการยก Turbine engine น้ำหนักกว่า 1,700 ตันลงติดตั้งในหลุม ที่เห็นเป็นสีแดงอยู่รอบๆ คือคนงาน ( Turbine คือ กังหันเมื่อน้ำไหลผ่านเพื่ิอไปหมุนผลิตกระแสไฟฟ้า )

เขื่อนใหญ่ยักษ์ 
ภาพขณะติดตั้ง Turbine engine และหลังติดตั้งแล้วเสร็จ
  • ความยาวเขื่อน 2,335 เมตร
  • ความสูงเขื่อน 101 เมตร
  • ความกว้างที่ฐานเขื่อน 115 เมตร wowboom
  • ประมาณการค่าก่อสร้าง 1,365 ล้านล้านบาท ( 39 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ )
  • ความสามารถในการเก็บกักน้ำ 39.3 ลูกบาก์ศกิโลเมตร
  • พื้นที่ผิวน้ำกักเก็บ 1,045 ตารางกิโลเมตร ( ก็ประมาณจังหวัด สมุทรปราการทั้งจังหวัด จังหวัดสมุทรปราการมีพื้นที่ 1,004.1 ตารางกิโลเมตร)
 
รูปซ้าย ภาพถ่ายจากอากาศเขื่อน Three Gorges Dam จะเห็นทางที่น้ำไหลออกมาเป็นสาย เมื่อเทียบกับรูปขวา จะเห็นทางน้ำไหลมีขนาดใหญ่มากเมื่อเทียบกับคน

ได้หนึ่งเขื่อน ใหญ่ที่สุดในโลก แต่ เสียอีก หนึ่งใหญ่ที่สุดในโลก

เป็นที่น่าเสียดาย ที่การก่อสร้างเขื่อน Three Gorges Dam ขวางกั้นแม่น้ำแยงซี(Yangtze) เป็นอีกหนึ่งสาเหตุเร่งให้ปลา Paddlefish หรือที่ชาวจีนเรียกว่า ปลาดาบจีน ( Chinese Swordfish ) หรือบางท้องที่เรียกว่า แพนด้ายักษ์ แม่น้ำ (Giant Panda of the Rivers) หายไปจากแม่น้ำแยงซี และคาดว่าอาจจะสูญพันธุ์ ไปแล้ว ปลาดาบจีนนับเป็น 1 ในสายพันธุ์ ปลา ตัว ใหญ่ที่สุดในโลก ( ฺBiggest fish ) สายพันธุ์หนึ่ง

รูป นักท่องเที่ยวกำลังเดินผ่าน ปลา Chinese Paddlefish ที่จัดแสดงอยู่ที่สถาบันวิจัยปลาแม่น้ำแยงซีเกียง