วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2554

รู้เอาไว้...ก็จะดี^^


15 เมนูอาหารอันตราย!!!

เผยเมนูอาหารและข้อควรคิดสำหรับคนใจรักการทานอาหารตามร้านสะดวกซื้อ แบกะดิน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารริมทาง ตามตลาดนัด

1.ขนมปังปี๊บ ไม่ควรบริโภค เพราะกระบวนการผลิตขนมปังบรรจุปี๊บบางแห่งไม่มีคุณภาพ

2.เชอร์รี่บนขนมเค้กตามตลาดสด เชอร์รี่สีแดง สีเขียว วางประดับเหนือครีมสีขาว บนขนมเค้ก ส่วนใหญ่จะย้อมสี ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะเสื่อมในไต

3.ซูชิในตลาดนัด ของสดบวก กับความร้อนและเชื้อแบคทีเรียในอากาศ ผู้ที่ซื้อไปรับประทานก็จะมีอาการท้องร่วงท้องเสียตามมา

4.เอแคลร์-ลูกชุบ หรือขนมที่มีการปั้นๆ ถูๆ ต้องพึงระวังสุขอนามัย รวมถึงสีที่ใช้ ซึ่งหลายเจ้าไม่ได้ใช้สีผสมอาหาร ใครทานเข้าไปก็เตรียมใจรับสารตะกั่ว

5.ลูกอมสีประหลาด สีเหล่านี้อาจเต็มไปด้วยสารตะกั่วและโลหะหนัก เพื่อสุขภาพที่ดีของปากและฟัน ควรหนีห่างเป็นดีที่สุด

6.อาหารทะเลปลายฤดูร้อน อาจมีเชื้อไวรัส แบคทีเรียมากกว่าปากติ ฉะนั้นโอกาส ท้องเสียจึงมีสูง หากจะทานก็ควรล้างน้ำเกลือให้สะอาด เพื่อชะล้างฝุ่นดินโคลนออกเสีย

7.อาหารสำเร็จรูปไมโครเวฟ ที่มีวางขายหลากหลายยี่ห้อ ซึ่งบรรจุภัณฑ์ชนิดนี้ไม่ควรนำกลับมาใช้ซ้ำ เพราะเคมีในพลาสติกจะซึมสลายปะปนกับอาหาร สะสมในร่างกาย

8.โยเกิร์ตตามซูเปอร์มาร์เก็ต ผู้ผลิตบางรายอาจผสมแป้งลงไป เพื่อให้ได้ปริมาณและความข้น ขณะที่ผลไม้เชื่อมที่ใช้ก็ถูกสลายด้วยเกลือแร่และวิตามินซีไปนานแล้ว

9.น้ำปลาเปิดขวด ควรมีอายุการใช้ไม่เกิน 1 เดือน เพื่อป้องกันการวางไข่ของแมลงวัน และเชื้อโรคตามอากาศที่ปะปนอยู่ในขวด

10. ขวดซอสมะเขือเทศ ซอสพริก ที่เปิดใช้แล้ว แม้จะเก็บไว้อย่างดีในตู้เย็น แต่หากเปิดใช้เหลือเกินกว่าวันที่ฉลากระบุ ก็ต้องจัดการทิ้งถังขยะ เพราะเชื้อราตามคอขวด ซอสเหล่านี้ เติบโตเร็ว

11.กระดาษหนังสือพิมพ์ ห่อผักสด เข่งปลา วางจำหน่ายอยู่ทั่วไป อันนี้กินไม่ได้แต่สัมผัสกับอาหาร เนื่องจากสารพิษจากหมึกจะปนเปื้อนในอาหารได้ ควรหลีกเลี่ยง โดยเฉพาะนำ ไปห่อผักแช่ตู้เย็น

12.อาหารกระป๋อง ถ้าใช้ไม่หมดควรเอาออกจากกระป๋องใส่ภาชนะอื่นแช่ตู้เย็น เพราะอากาศจะเร่งปฏิกิริยาให้อาหารปนเปื้อนสารจากกระป๋องได้ง่าย

13.ฟองน้ำล้างจาน นี่ก็ไม่ใช่ของกิน แต่ก็สำคัญเพราะหากนำฟองน้ำล้างจาน กลับมาใช้ซ้ำหลายๆ ครั้ง แบคทีเรียที่มีน้ำยาผสมน้ำทิ้งไว้จึงไม่ควรทิ้งไว้นานเกิน 1 ชั่วโมง หากต้องการกำจัดเบื้องต้น เคล็ดลับง่ายๆ โดยนำฟองน้ำล้างจานไปแช่ในน้ำส้มสายชู แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น

14.อาหารหมักดอง เพราะเชื้อไวรัสในอาหารหมักดองมีฤทธิ์มากพอที่จะทำลายกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง โดยเฉพาะอาหารหมักดองที่ขายตามตลาด

15.เบียร์สด ซึ่งมีกรรมวิธีการผลิตแตกต่างจากเบียร์บรรจุขวด เพราะจะไม่ถูกกรองยีสต์ที่ตายแล้ว ก็อาจจะทำให้ได้รับซากยีสต์จากการดื่มด้วย ซึ่งต้องระมัดระวังหากใครมีปัญหาเรื่องภูมิต้านทานแบคทีเรีย

...เพื่อให้การกิน อิ่มทั้งกาย อิ่มทั้งใจ ...


'ลอบสเตอร์' เมนูคนจนและผู้ใช้แรงงาน

หลากหลายเมนูจานเด็ดที่โด่งดังไปทั่วโลก ครั้งหนึ่งในอดีตเคยถูกจัดเป็น 'อาหารชั้นต่ำ'

คุณรู้หรือไม่ว่า อาหารหลากหลายเมนูที่หลายคนยอมรับว่าเป็น 'เมนูจานเด็ด' และยังเป็นเมนูที่โด่งดังไปทั่วโลก ในอดีตกลับเป็นอาหารที่ถูกดูถูกเหยียดหยามจากชนชั้นสูง อีกทั้งยังจัดว่าเป็นอาหารชั้นต่ำและไม่มีคุณค่าอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น กุ้งลอบสเตอร์ หอยนางรม ฟัวกราส์ โปเลนต้าและซูชิ

'กุ้งลอบสเตอร์' (Lobster) หรือที่หลายคนเรียกกันว่า 'กุ้งมังกร' เป็นอาหารทะเลราคาแพง ที่ครั้งหนึ่งเคยมีจำนวนมากในทวีปอเมริกาเหนือชนิดที่เรียกว่า หว่านแหเมื่อไหร่ก็เจอกุ้งชนิดนี้ได้ทันที จนทำให้ผู้คนสมัยก่อนเห็นกุ้งลอบสเตอร์เป็นส่วนเกินที่ไม่มีค่า อีกทั้งยังเรียกมันว่า 'แมลงทะเล' เพราะเชื่อว่าจัดอยู่ในสัตว์จำพวกแมงมุมยักษ์ คนจึงเกลียดชังและมักนำไปทำปุ๋ย จะมีก็แต่คนจนและผู้ใช้แรงงานเท่านั้นที่จะนำกุ้งลอบสเตอร์มาทำเป็นอาหาร

'หอยนางรม' (Oysters) แม้ปัจจุบันหอยนางรมจะมีราคาสูงเมื่อเทียบกับหอยชนิดอื่น เป็นอาหารทะเลที่นิยมบริโภคกันอย่างแพร่หลายและจัดว่ามีคุณค่าทางโภชนาการสูง แต่หอยนางรมเคยจัดเป็นอาหารชั้นต่ำ เนื่องจากหลายคนคิดว่า การกินหอยนางรมเปรียบเสมือนกินหินที่ข้างในเป็นทารก อีกทั้งยังเป็นชื่อของเครื่องทรมานชนิดหนึ่งของยุโรป ทำให้ในยุโรปช่วงศตวรรษที่ 19 หอยนางรมนิยมกินกันมากในหมู่คนจนและผู้ใช้แรงงานเท่านั้น

'ฟัวกราส์' (Foie gras) เมนูที่ถือว่าเป็นอาหารฝรั่งเศสที่ดีที่สุด เช่นเดียวกับทรัฟเฟิล มีลักษณะนุ่มมันและมีรสชาติที่แตกต่างจากตับของเป็ดหรือห่านธรรมดาและเป็นหนึ่งในอาหารฝรั่งเศสที่ทั่วโลกรู้จักมากที่สุดนอกเหนือจากไข่ปลาคาเวียร์(caviar) แต่มีน้อยคนที่รู้ว่า ต้นกำเนิดของฟัวกราส์แท้ๆไม่ได้มาจากฝรั่งเศส แต่เป็นอียิปต์โบราณ โดยกษัตริย์เมืองสปาตาสนใจการขุนอาหารแบบนี้ ทำให้เริ่มเผยแพร่เข้าไปในยุโรป แต่ช่วงแรกๆฟัวกราส์ก็ยังไม่ได้รับความนิยม เนื่องจากชาวไร่ชาวนายุคกลางในฝรั่งเศสส่วนใหญ่เลี้ยงหมูมากกว่าสัตว์ปีก ทำให้สูตรอาหารชนิดนี้ตกอยู่ในมือของชาวยิว ซึ่งสมัยก่อนชาวยุโรปมักดูถูกและต่อต้านวัฒนธรรมของชาวยิว ทำให้มองอาหารชาวยิวต่ำไปด้วย

'โปเลนต้า' (Polenta) ข้าวโพดบดที่นำมาทำได้หลายเมนูอไม่ว่าจะเป็นซุปหรือขนมต่างๆ มักได้รับความนิยมจากคนวัยทำงานและคนที่เล่นกีฬา ในอดีตเคยได้รับสมญานามว่าเป็นอาหารที่เลวร้ายที่สุดของโลก ถึงขั้นดูถูกว่ากินแล้วจะเป็นโรคกระดูกอ่อนหรือโรคจิตเสื่อมได้ โดยภาคเหนือของอิตาลีบอกว่ามันเป็นอาหารที่น่าเบื่อ ไม่มีรสชาติและรูปร่างน่าเกลียดขรุขระ

'ซูชิ' (sushi) อาหารญี่ปุ่นที่ทั่วโลกรู้จักดี แต่เดิมนั้นไม่ใช่อาหารของญี่ปุ่น แต่ญี่ปุ่นรับเอาวัฒนธรรมการรับประทานอาหารประเภทปลาหมักกับข้าวมาจากประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะประเทศไทยและลาว ซึ่งการหมักปลามักทำกันแพร่หลายโดยเกษตรกรที่อาศัยอยู่ริมฝั่งโขง ต่อมาแพร่หลายในจีนและญี่ปุ่น และในปี 1336-1573 ญี่ปุ่นได้คิดค้นวิธีผลิตน้ำส้มสายชูจากการหมักข้าว จึงนำน้ำส้มสายชูมาผสมลงในข้าวที่หุงเสร็จแล้วเพื่อทำให้ข้าวอยู่ได้นานขึ้นและยังเป็นการเพิ่มรสชาติข้าว พอลองนำมารับประทานกับปลาดิบและวาซาบิก็พบว่าอร่อยขึ้น จึงเป็นที่มาของซูซิตั้งแต่นั้นมา ทั้งนี้ ซูชิไม่ได้ถูกดูถูกจากญี่ปุ่นแต่เป็นอเมริกา เนื่องจากตอนที่ซูชิเริ่มเข้ามาในอเมริกามาใหม่ๆ ชาวตะวันตกไม่ยอมรับว่าข้าวดองนี้คืออาหารและเป็นเรื่องยากที่จะทำให้พวกเขายอมรับอาหารดิบ นอกจากนี้ชาวตะวันตกยังคิดว่าข้าว คือ ธัญพืช ไม่จัดเป็นอาหารหลัก ทำให้กว่าจะเปิดตลาดซูชิในอเมริกาได้ ก็ต้องรอถึงปี 1980 ขณะที่ปัจจุบันซูชิกลายเป็นเมนูที่ได้ได้รับความนิยมไปทั่วโลก จนอาจกล่าวได้ว่าเป็นอาหารฟาสต์ฟู้ดของญี่ปุ่น ซึ่งให้คุณค่าทางอาหารมากกว่าฟาสต์ฟู้ดของอเมริกา จนเกิดเมนูที่เรียกว่า 'แคลิฟอร์เนียโรล'


ภาพจาก "กัมพูชาเอ็กซ์เพรส" -- ชีวิตไม่แน่ไม่นอน หนุ่มใหญ่ชาวฝรั่งเศสคนนี้ถูกชะตากรรมเล่นงาน ต้องอุ้มลูกออกขอทานตามวัดที่เมืองสีหนุวิลล์ กัมพูชา หลังจากภรรยาซึ่งเป็นโสเภณีทอดทิ้งไปมีชายอื่น ติดยาและเสียพนัน ต้องเลี้ยงดูลูกสาวลูกครึ่งตัวเล็กๆ 2 คน ตามลำพัง
       
 มีผู้พบเห็นเหตุการณ์ประหลาด ชายชาวฝรั่งเศสอุ้มลูกที่ยังเล็กๆ 2 คนออกขอข้าวตามวัดต่างๆ ในสีหนุวิลล์ เมืองท่องเที่ยวทางภาคใต้ของกัมพูชา 
      
       นั่นคือ เทศกาลทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้สมาชิกครอบครัวผู้ที่ล่วงลับ และเป็นเทศกาลหนึ่งที่มีขอทานชาวเขมรจำนวนมาก ออกเร่ขออาหาร จากคำให้การของเพื่อนบ้าน ไม่มีใครทราบชื่อของชาวฝรั่งเศสคนนี้อย่างแน่ชัด ทราบแต่ว่าได้อยู่กินกับหญิงโสเภณีชาวเขมรคนหนึ่ง มีลูกด้วยกัน 2 คน ต่อมาฝ่ายหญิงได้ตีจากไปอยู่กับชายอื่น หลังจากถลุงเงินจนหมด และหายหน้าไป ท้องลูกเอาไว้ 2 คน ให้พ่อที่ไปจากแดนไกลเลี้ยงดูตามลำพังตามรายงานของสำนักข่าวออนไลน์ “กัมพูชาเอ็กซ์เพรส” ชายฝรั่งเศสวัย 46 ปีรายนี้ ไปปักหลักอาศัยอยู่ในสีหนุวิลล์ (หรือกัมปงโสมเมื่อก่อน) ตั้งแต่ 5 ปีที่แล้ว และไปหลงใหลโสเภณี ขอเธอแต่งงาน ได้ลูกสาวคนแรกเป็นหญิงชื่อ “มารี” ตอนนี้อายุ 3 ขวบ ทันทีที่มีลูก หนุ่มฝรั่งเศสได้เช่าบ้านหลังหนึ่ง เปิดเป็นร้านค้าให้ภรรยา แต่ฝ่ายหญิงไม่สนใจ และใช้เงินที่ขายได้จนหมดไม่นานทั้งคู่ก็มีลูกสาวคนที่ 2 ตอนนี้ “โซฟี” อายุเพิ่ง 1 ขวบ และพ่อไม่มีอะไรเหลือที่จะเลี้ยงดูลูกได้อีกแล้ว จึงไปสมัครเป็นกุ๊กที่ภัตตาคารแห่งหนึ่ง ให้ฝ่ายภรรยาดูแลลูกๆ แต่เธอไม่สนใจ หันไปมีชายอื่น ติดยา และเล่นการพนันจนหมดทุกสิ่งทุกอย่าง เมื่อทนเห็นลูกๆ อดอยู่ต่อหน้าทุกวันไม่ไหว ชายฝรั่งเศสจึงตัดสินใจออกจากงานอยู่กับลูกที่บ้าน และได้พบว่าทางเดียวที่ลูกจะมีกิน ก็คือ ออกขอข้าวตามวัดต่าง เจ้าหน้าที่ตำรวจ ยืนยันว่า ชายคนนี้อาศัยอยู่ใกล้สถานีรถไฟสีหนุวิลล์ เจ้าหน้าที่สถานทูตฝรั่งเศสจากกรุงพนมเปญ ไปเยี่ยมเขาถึงบ้านมาสองครั้งแล้ว ชักชวนให้กลับประเทศ แต่เขาปฏิเสธที่จะกลับฝรั่งเศส นอกเสียจากลูกสาวทั้งสองจะได้รับอนุญาตให้ไปด้วย กัมพูชาเอ็กซ์เพรส กล่าว

วันพฤหัสบดีที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ความงามที่ว่านั้นหาใช่ใบหน้าที่ฉันเพิ่งไปศัลยกรรมมานะจ๊ะ ...หากแต่เป็นเพราะฉันมีโอกาสแวะมาที่ประเทศโคลัมเบีย แล้วก็ได้เจอกับแม่น้ำที่สวยที่สุดในโลก จนฉันอดทนรนไม่ได้อยากให้เธอลองจินตนาการถึงน้ำสีฟ้าใส ไหลเย็นเห็นตัวปลา ซึ่งทุกอย่างธรรมชาติเนรมิตสร้างสรรค์ให้มนุษย์อย่างเรา ๆ ได้ยลโฉมเป็นบุญตาบุญใจจริง ๆ
"The river of the five colors" หรือ แม่น้ำ 5 สี หรือ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "The river that run away to paradise" หรือแม่น้ำสู่สรวงสวรรค์ เขาขึ้นชื่อว่าเป็นแม่น้ำที่สวยที่สุดในโลก สุดยอดใหมล่ะ... ปกติเวลาที่เราไปเจอแม่น้ำที่ใสสะอาดก็นับว่าสวยพอตัวแล้ว แต่นี่!! น้ำมีตั้ง 5 สีเชียวนา อ๊ะอ๊ะ ฟังแค่ปิ๊งแล้วใช้ไหม ยิ่งคนอย่างฉันน้องมดน้อย ผู้รักธรรมชาติ สายลม แสงแดด ต้นไม้ ใบหญ้า สายน้ำเป็นชีวิตจิตใจ จนต้องระบายให้แธอฟังนี่ล่ะ
แม่น้ำ 5 สี เป็นแม่น้ำนี้อยู่ทางตอนเหนือของ ประเทศโคลัมเบีย ในเมือง Macarena La ซึ่งเป็นต้นน้ำ มีลักษณะเป็นธารหินตื้น ๆ ไม่มีดินโคลน น้ำที่นี่จึงใสแจ๋ว พอแสงแดดส่องก้นบึ้งด้านล่าง เราก็จะเห็นประติมากรรมใต้น้ำ ต้นหญ้า mosses และ algae ที่มีสีน้ำตาล หรือ สีเขียว เกือบตลอดทั้งปี และขอบอกว่าแม่น้ำสวยสายนี้ เป็นแม่น้ำที่สวยด้วยตัวเอง ไม่ได้สวยด้วยสภาพแวดล้อมหรือทิวทัศน์สองฟากฝั่งและภาพที่เห็นเป็นของจริงล้วน ๆ นะจ๊ะ โดยสิ่งที่แตกต่างจากแม่น้ำสายอื่น ๆ ก็คือ โขดหินที่ปกคลุมด้วย หญ้ามอส สีเขียว สีม่วง สีแดงอมม่วง และสีเขียว ผสมผสานกลมกลืนจนสายน้ำกลายเป็นสีฟ้าเข้ม อวดโฉมเปล่งประกายความงามหลากหลายให้ใครต่อใครต่างประทับใจไม่รู้ลืม เพราะทำให้แม่น้ำสายนี้งดงามดั่งสายรุ้งในฤดูฝน
ส่วนฤดูกาลที่เหมาะสมที่สุดในการมาเที่ยว จะเป็นช่วงรอยต่อสั้น ๆ ระหว่างฤดูฝน กับ ฤดูร้อน เพราะระดับน้ำกำลังพอดี พืชน้ำแต่ละชนิดจะพากันชูช่อออกดอกหลายหลากสีสัน ตัดสลับสีฟ้า สีเขียว สีดำ สีแดงเต็มสองฟากฝั่ง และในก้นแม่น้ำด้วย บรรดานักท่องเที่ยวจึงใจจดใจจ่อรอคอยด้วยใจอยากมาสัมผัส ซึ่งตลอดระยะความกว้างของแม่น้ำ 5 สี 20 เมตร ความยาวกว่า 100 กิโลเมตร นับเป็นความมหัศจรรย์มาก อีกอย่างความงดงามนี้ยังไม่ได้ถูกกระทบกระเทือนด้วย เพราะไม่มีถนนเส้นใด ๆ เข้าไปถึง นอกจากเราจะขี่ม้าหรือขี่ลาหรือถ้าถึก ๆ อย่างเธอก็สามารถเดินเท้าได้จ๊ะ  ดังนั้นสิ่งที่บริษัทท่องเที่ยวทั่วโลกทำได้ก็คือ ต้องเตรียมจัดเส้นทางการบินเพื่อนำนักท่องเที่ยวบินไปให้ใกล้เมือง La Macarena มากที่สุด เรียกได้ว่าถ้าไม่รักธรรมชาติจริงอย่างมดน้อยก็คงไม่มีบุญได้เห็นหรอก
ครั้งนี้เธอรู้ไหมว่ามันคุ้มมากนะกับชีวิตผู้หญิงตัวเล็ก ๆน่าทนุถนอมอย่างฉันมาก ๆ กลับถึงเมืองไทยเมื่อไหร่จะเอาภาพจิตรกรรมบนผืนน้ำและความงดงามของแม่น้ำ 5 สี ไปดูเล่น ๆ นะจ๊ะ

10 สุดยอดสถานที่ท่องเที่ยวโรแมนติกที่สุดในโลก

 ท่องเที่ยว สถานที่ท่องเที่ยว ที่ท่องเที่ยวโรแมนติก

อันดับที่ 10. Colmar ประเทศฝรั่งเศส เมือง Colmar ถูกจัดให้เป็นเมืองที่มีความโรแมนติก เมืองหนึ่ง ของประเทศฝรั่งเศส และเป็นสถานที่ที่คู่รัก มักจะให้คำสัญญาในความรักระหว่างกันและกัน สิ่งที่น่าประทับใจในเมือง Colmar ก็คือ ไร่องุ่นจำนวนมาก เคียงคู่ไปกับอุตสาหกรรมการผลิตไวน์ชั้นเยี่ยม และบรรยากาศ ที่สวยงาม สถาปัตยกรรมของอาคารบ้านเรือนเก่าแก่ ช่วยทำให้เมืองColmar เป็นอีกหนึ่งในสถานที่โรแมนติกในฝัน
ท่องเที่ยว สถานที่ท่องเที่ยว ที่ท่องเที่ยวโรแมนติก

อันดับที่ 9. Paris ประเทศฝรั่งเศส เมืองปารีส มีสมญานามว่า สวรรค์แห่งความโรแมนติก” (Heaven of Romantic) ดังที่ สถานที่แห่งนี้ เหมาะเป็นอย่างยิ่งที่คุณและคนรัก จะสารภาพ “รักนิรันดร์” ระหว่างกันและกัน สิ่งที่น่าประทับใจในเมืองปารีส อย่างเช่น พิพิธภัณฑ์ Le Louvre (พิพิธภัณฑ์ ที่มีผู้เข้าเยี่ยมชมมากที่สุดในโลก) หอไอเฟล ,โรงแรม Disney Land Resort ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุโรป พิพิธภัณฑ์ศิลปะ Centre Pompidou และสถานที่สวยงามอื่น ๆ อีกมากมาย การไปเที่ยวกับคนรักที่ปารีส หากจัดสรรเวลาให้ดีก็จะคุ้มค่ามาก และสถานที่แห่งนี้จะเก็บความโรแมนติกอยู่ในใจของคุณไปอีกนานแสนนาน

ท่องเที่ยว สถานที่ท่องเที่ยว ที่ท่องเที่ยวโรแมนติก

อันดับที่ 8. Venice ประเทศอิตาลี หากคุณกำลังมองหาสถานที่ ที่จะเอ่ยกับคนรักว่า เขาหรือเธอ เป็นคนที่มีค่ามากที่สุดในชีวิต Venice ก็คือ คำตอบสุดท้ายสำหรับคุณ! เมือง Venice มีชื่อเสียงโด่งดังในด้าน สุดยอดสถาปัตยกรรม และยังมีหลายสถานที่โรแมนติก เช่น สะพานเก่าแก่Ponte dei Sospiri, จตุรัส Piazza San Marco ที่ได้รับสมณานามว่า “ห้องจิตรกรรมของยุโรป” (The - drawing room of Europe) และคลองในตัวเมือง “Canale Grande” ทั้งหมดนี้จะสร้าง ความโรแมนติก ระดับหรูหรา ให้กับคนรักและตัวคุณ
ท่องเที่ยว สถานที่ท่องเที่ยว ที่ท่องเที่ยวโรแมนติก

อันดับที่ 7. Schloss Neuschwanstein ประเทศเยอรมันนี สถานที่ที่ผสมผสาน ความสวยงามตามธรรมชาติ เข้ากับจินตนาการ และความสร้างสรรค์ของมนุษย์ ได้อย่างลงตัว เมืองSchlossNeuschwanstein มีความสวยงาม ราวกับเป็นสวรรค์บนพื้นโลก รายล้อมไปด้วยทิวทัศน์อันสวยงาม ปราสาทเก่าแก่อายุ 100 กว่าปี (สร้างปี 1899) ซึ่งเยอรมัน ได้ถูกกล่าวขานว่า เป็นอีกประเทศหนึ่ง ที่มีปราสาทสวยงามที่สุดในยุโรป
ท่องเที่ยว สถานที่ท่องเที่ยว ที่ท่องเที่ยวโรแมนติก

อันดับที่ 6. Vienna ประเทศออสเตรีย เมือง Vienna ในประเทศออสเตรีย เป็นอีกสถานที่ที่มีคู่รักจากทั่วทุกมุมของโลก แวะเวียนมาเยี่ยมชมความสวยงาม สิ่งที่ขึ้นชื่อของเมืองนี้คือ สุดยอดสถาปัตยกรรม และสุดยอดผลงานเพลงศิลปะ และพิพิธภัณฑ์ศิลปะ ที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก พระราชวัง Schoenbrunn, พระราชวัง Belvedere, พระราชวัง The Hofburg Imperialและพิพิธภัณฑ์นักจิตวิทยาผู้โด่งดัง Sigmund Freud
ท่องเที่ยว สถานที่ท่องเที่ยว ที่ท่องเที่ยวโรแมนติก

อันดับที่ 5. Monte Carlo ประเทศโมนาโค เมือง Monte Carlo ยังเป็นอีกหนึ่งสถานที่โรแมนติก ที่คุณจะได้สื่อความรัก ไปยังคนรักของคุณ เมืองนี้ตั้งอยู่ที่ตีนของเทือกเขาแอลป์ และเป็น สถานที่ที่มีเรื่องราวของความรัก ก่อกำเนิดขึ้นมากมาย สิ่งที่น่าสนใจของเมือง Monte Carlo คือบ่อนคาสิโนเลื่องชื่อ (Monte Carlo Casino) พิพิธภัณธ์ทางทะเลพิพิธภัณฑ์ประจำชาติ และพระราชวัง Prince
ท่องเที่ยว สถานที่ท่องเที่ยว ที่ท่องเที่ยวโรแมนติก

อันดับที่ 4. Prague สาธารณรัฐเช็ก อีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ สำหรับสถานที่โรแมนติก ก็คือ เมือง Prague ของสาธารณรัฐเช็ก สถานที่แห่งนี้ขึ้นชื่อเรื่องอาหารอร่อย วัฒนธรรม และปราสาทเก่าแก่ ผู้คนที่มีมิตรไมตรี และสุภาพอ่อนโยน เมือง Prague เป็นสถานที่เกิดของนักดนตรีระดับโลก อย่าง Mozart และมีชื่อเสียง ในเรื่องของทางเดินอันสวยงามในเมือง ที่คู่รักสามารถใช้เวลาเดินเล่นด้วยกัน
ท่องเที่ยว สถานที่ท่องเที่ยว ที่ท่องเที่ยวโรแมนติก

อันดับที่ 3. New York ประเทศสหรัฐอเมริกา เมือง New York เหมาะสำหรับคู่รัก ที่กำลังมองหาสถานที่ที่จะใช้ช่วงเวลาแห่งความรัก และความโรแมนติกในหลากหลายรูปแบบ ร้านอาหาร และร้านค้าจำนวนมาก และสถานที่น่าสนใจอื่น ๆ เช่น สถานีรถไฟ Grand Central Terminal, อนุสาวรีย์เทพีสันติภาพ และสวนหย่อมขนาดใหญ่ Central Park (มีกิจกรรมคอนเสิร์ตมีลานสเก็ตน้ำแข็ง)
ท่องเที่ยว สถานที่ท่องเที่ยว ที่ท่องเที่ยวโรแมนติก

อันดับที่ 2. Cairo ประเทศอียิปต์ เมือง Cario ก็ได้รับการกล่าวขานว่า เป็นสวรรค์บนโลกเช่นเดียวกัน (โดยเฉพาะสำหรับคู่รัก) ความงดงามและมนต์เสน่ห์ที่อยู่ในตัวเมือง คือแรงดึงดูด ให้คู่รักเดินทางมาใช้เวลาท่องเที่ยวที่นี่ด้วยกัน และปิรามิด ก็คือสิ่งที่พิเศษที่สุด ท่ามกลางความสวยงามในตัวเมือง
ท่องเที่ยว สถานที่ท่องเที่ยว ที่ท่องเที่ยวโรแมนติก

อันดับที่ 1. Mauritius Island มหาสมุทรอินเดีย สถานที่แห่งนี้ ได้รับการกล่าวขานว่า “ปลายทางสุดท้าย ที่โรแมนติกมากที่สุด” (Ultimate Romantic Destination) เกาะ Mauritius มีชื่อเสียง อย่างมาก ในหมู่คู่รักที่จะมาท่องเที่ยว หรือคู่รักที่จะมาฮันนีมูน ต้นปาล์มมากมายที่เคลื่อนที่พริ้วไหว ไปตามสายลม บรรยากาศที่สวยงามตามธรรมชาติ แนวหินปะการัง และท้องทะเลสีฟ้า เป็นส่วนหนึ่งในอีกหลาย ๆ สิ่ง ที่ทำให้สถานที่แห่งนี้สวยงามจนยากที่จะลืมเลือน

อาณาจักรศรีวิชัยและมหาสถูปโบโรบูโดร์

    เนื่องจากพิธีกรรมที่เหมาะกับราชสำนักของศาสนาฮินดู และแนวคิดทางศาสนาและปรัชญาที่ลึกซึ้งของพุทธศาสนา ทำให้ศาสนาฮินดูและพุทธศาสนาซึ่งเดินทางมาจากอินเดียได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากผู้ปกครองท้องถิ่นในดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในสมัยอาณาจักรศรีวิชัยพุทธศาสนามีอิทธิพลเหนือหมู่เกาะอินโดนีเซียและแหลมมลายูไม่ต่ำกว่า 600 ปี พุทธศาสนาในสมัยศรีวิชัยเป็นพุทธศาสนาฝ่ายมหายานที่ผสมผสานกับวัฒนธรรมท้องถิ่น มีการสร้างพุทธสถานที่ใหญ่โตวิจิตรงดงาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งมหาสถูปโบโรบูโดร์ รวมทั้งพระพุทธรูปเป็นอันมาก 

อาณาจักรศรีวิชัย 

 (ประมาณ พ.ศ.1200-1800) ครอบคลุมตั้งแต่ตอนบนของแหลมมลายู (รวมทั้งตอนใต้ของไทย) จนถึงหมู่เกาะอินโดนีเซีย เป็นอาณาจักรที่นับถือพุทธศาสนามหายานที่เผยแผ่มาจากอินเดีย ในปี พ.ศ.2461 จอร์จ เซเดส (George Sedes) ได้ค้นพบศิลาจารึกภาษาสันสกฤต (ที่วัดเสมาเมือง นครศรีธรรมราช ประเทศไทย) เกี่ยวกับอาณาจักรศรีวิชัย จึงได้แปลออกเป็นภาษาฝรั่งเศส นับเป็นการเปิดเผยเรื่องราวของอาณาจักรศรีวิชัยให้โลกได้รับรู้เป็นครั้งแรก

ราชวงศ์ไศเลนทร์ ซึ่งตั้งเมืองหลวงอยู่ที่เมืองไชยา (เป็นคำเดียวกับ "ศรีวิชัย" อยู่ในเขตจังหวัดสุราษฎร์ธานีของไทยในปัจจุบัน) มีความสัมพันธ์กับราชวงศ์ปาละในอินเดียอย่างใกล้ชิด ศิลปะศรีวิชัยจึงมีต้นแบบมาจากศิลปะปาละ ธรรมาจารย์จากนาลันทา วิกรมศิลา โอทันตบุรี ในอินเดียได้เดินทางมาเผยแผ่พุทธศาสนาในอาณาจักรศรีวิชัยอย่างต่อเนื่อง มีการสร้างวัดบรมธาตุไชยา วัดแก้ว และวัดเลียบ (สถานที่ค้นพบรูปปั้นพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรสมัยศรีวิชัย ปัจจุบันอยู่ในประเทศไทย) อันกลายเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์

ในพุทธศตวรรษที่ 12 พระภิกษุอี้จิงจากประเทศจีนซึ่งต้องการเดินทางไปอินเดีย โดยได้มาแวะพักที่อาณาจักรศรีวิชัยเป็นเวลา 6 เดือนเพื่อศึกษาคัมภีร์ศัพทศาสตร์ ได้เขียนจดหมายเหตุบันทึกไว้ว่า ในอาณาจักรศรีวิชัยมีพระภิกษุมากกว่า 1,000 รูปที่เคร่งครัดในพระธรรมวินัยเหมือนอย่างพระภิกษุในอินเดีย และแนะนำว่าพระภิกษุจีนควรจะมาแวะที่อาณาจักรศรีวิชัยเป็นเวลา 1-2 ปี เพื่อศึกษาภาษาสันสกฤต ก่อนที่จะเดินทางต่อไปยังอินเดีย 


ในพุทธศตวรรษที่ 13 อาณาจักรศรีวิชัยได้รับวัฒนธรรมอินเดีย 2 ทางคือ จากราชวงศ์โจฬะ (อินเดียใต้) และจากราชวงศ์ปาละ (เบงกอล) ซึ่งนำพุทธศาสนาวัชรยาน (Vajrayana) หรือตันตระ (Tantra) เผยแผ่มาถึงอาณาจักรศรีวิชัย ในยุคนี้มีการก่อสร้างพุทธสถานเป็นจำนวนมาก รวมถึงพระมหาสถูป "โบโรบูโดร์" (Borobudor) อันมีชื่อเสียง และอิทธิพลของอาณาจักรศรีวิชัยได้แผ่ไปถึงจามปา โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เทวสถานโพนคร

ในพุทธศตวรรษที่ 15 อิทธิพลของอาณาจักรศรีวิชัยได้แผ่ขยายขึ้นมาถึงลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา กล่าวกันว่า พระเจ้าสุริยวรมัน คือกษัตริย์ศรีวิชัยที่ขึ้นมาปกครองอาณาจักรขอม และอิทธิพลของอาณาจักรศรีวิชัยอาจเลยขึ้นไปถึงลุ่มแม่น้ำปิงก็เป็นได้ เนื่องจากมีการพบภาพสลักมุขพระเจดีย์ ที่วัดป่าสัก อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย เป็นรูปเกียรติมุขแบบศรีวิชัย

มหาสถูปโบโรบูโดร์ 

คู่ขนานไปกับนครโซโล (Solo) อันเป็นเมืองที่อยู่ใกล้เคียง ยอคจาการ์ตา (Yogyakarta) เป็นดินแดนในใจกลางของเกาะชวา เป็นศูนย์กลางของประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และปรัชญา ภายในอาณาบริเวณ 30 กิโลเมตรจากยอคจาการ์ตา เป็นที่ตั้งของโบราณสถานทางศาสนาที่สำคัญ 2 แห่งคือ โบโรบูโดร์ (น่าจะเป็นคำเดียวกับ "บรมพุทโธ") สถูปในพุทธศาสนา และ ปรัมบานาน (Prambanan) วัดในศาสนาฮินดู โบราณสถานทั้งสองสร้างขึ้นจากหินในบริเวณนั้นระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 6 และที่ 8 (ก่อนการสร้างโบสถ์คริสต์ในยุคกลางของยุโรปหลายร้อยปี) 

โบราณสถานทางศาสนาทั้งสองแห่งนี้ สร้างขึ้นในสมัยที่ศาสนาฮินดูและพุทธศาสนาเป็นศาสนาหลักของหมู่เกาะชวา และเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ชี้ให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองของอาณาจักร ความรู้ทางด้านวิศวกรรม และความสามารถเชิงศิลปกรรมของผู้คนในยุคนั้น แม้ว่าสถูปโบโรบูโดร์และวัดปรัมบานานจะเป็นผลงานที่ยอดเยี่ยมที่สุดในอินโดนีเซีย แต่ก็ยังมีวัดอันวิจิตรงดงามอีกหลายร้อยแห่งทั่วทั้งเกาะชวา สำหรับชาวบาหลีนั้นนับถือศาสนาฮินดูเป็นส่วนใหญ่ โดยมีวัดฮินดูทั้งเก่าและใหม่นับพันแห่งในเกาะบาหลี (Bali) 


โบโรบูโดร์ เจติยสถานของพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน (สร้างก่อนนครวัตในกัมพูชาประมาณ 300 ปี) และสิ่งมหัศจรรย์ 1 ใน 7 ของโลก เป็นศูนย์กลางของพุทธศาสนาในภาคกลางของเกาะชวาอยู่ประมาณ 150 ปี กลางพุทธศตวรรษที่ 15 โบโรบูโดร์ถูกทอดทิ้งให้เสื่อมโทรมลง เนื่องจากภัยธรรมชาติคือ แผ่นดินไหวและภูเขาไฟระเบิด ซึ่งมีเป็นประจำในใจกลางเกาะชวา ทำให้พุทธสถานแห่งนี้ค่อยๆ ปรักหักพังจมหายลงไปในดิน และถูกลืมไปในที่สุด

ในปี พ.ศ.2351 เอช ซี คอร์เนเลียส (H. C. Cornelius) ได้เริ่มต้นทำการสำรวจโบโรบูโดร์ แต่ไม่มากนัก ต่อมาในระหว่างปี พ.ศ. 2450-2454 โทมัส แวน เอิร์พ (Thomas Van Erp) ได้ทำการขุดค้นอย่างจริงจัง ทำให้ทราบว่าสาเหตุหนึ่งที่ทำให้โบโรบูโดร์ได้รับความเสียหาย คือน้ำที่ไหลเซาะกัดลาดเนินเขาภายในตัวสถูป ทำให้รากฐานของสถูปยุบพังลงและกร่อนไปตามกาลเวลา ในปี พ.ศ.2516 องค์การยูเนสโก (UNESCO) ได้เข้าบูรณะซ่อมแซมพุทธสถานอันเป็นมรดกโลกแห่งนี้ (ด้วยงบประมาณ 8 ล้านเหรียญสหรัฐ) การขุดค้นและการปฏิสังขรณ์ได้เปิดเผยถึงความงดงามอันเลิศล้ำ ความกว้างใหญ่ไพศาล และความวิจิตรตระการตาของแผ่นหินแกะสลัก ที่ประดับตกแต่งจากยอดบนสุดจนถึงฐานล่างของสิ่งก่อสร้าง ทำให้ความยิ่งใหญ่งดงามของโบโรบูโดร์ได้ปรากฏต่อสายตาของชาวโลกอีกครั้งหนึ่ง

อาณาจักรในใจกลางหมู่เกาะเป็นรัฐที่รุ่งเรืองด้วยการเพาะปลูก และมีพืชผลทางการเกษตรเป็นจำนวนมาก โครงสร้างการปกครองเป็นระบบรวมศูนย์อำนาจ โดยมีระบบการจัดเก็บภาษีด้วยพืชผลและแรงงานจากชาวนา รัฐเหล่านี้ได้พัฒนากฎหมายและระบบการบริหารของตนเองขึ้นมา พืชผลทางการเกษตรจากการเก็บภาษีได้หล่อเลี้ยงราชสำนัก และช่างฝีมือในการก่อสร้างวัดหินขนาดใหญ่ ราชสำนักได้ส่งเสริมวัฒนธรรมชั้นสูงทางด้านดนตรี การฟ้อนรำ ปรัชญา และวรรณคดี มหากาพย์ของอินเดียคือ มหาภารตะ (Mahabharata) และรามายนะ (Ramayana) ได้ถูกนำเสนอโดยนักดนตรี นักฟ้อนรำ และนักเชิดหุ่นกระบอก เพื่อสื่อคุณค่าทางจริยธรรมและวัฒนธรรมของชาวชวาและชาวบาหลี ระบบการเขียนนั้นมาจากภาษาสันสกฤต และคำสันสกฤตจำนวนมากได้กลายเป็นคำในภาษาท้องถิ่น 

ในพุทธศตวรรษที่ 14 หมู่เกาะชวาได้แตกแยกออกเป็น 2 อาณาจักรคือ อาณาจักรมัชปาหิต (ภาคตะวันออก) และอาณาจักรปะชาชะลัน (ภาคตะวันตก) ต่อมาอาณาจักรมัชปาหิตรุ่งเรืองขึ้น พระเจ้าแผ่นดินส่วนใหญ่นับถือศาสนาพราหมณ์ มีการสร้างเทวสถานเป็นอันมาก และภาษาสันสกฤตกลายเป็นภาษาราชสำนัก ต่อมาในพุทธศตวรรษที่ 19 สมัยของพระเจ้าองควิชัย อำนาจของอาณาจักรมัชปาหิตแผ่ขึ้นไปถึงแหลมมลายู ทำให้อาณาจักรศรีวิชัยเสื่อมลง

ในปี พ.ศ.1930 ลามุนะ อิบราฮิม พ่อค้าอาหรับได้นำศาสนาอิสลามไปเผยแผ่ที่ชวาเป็นครั้งแรก อิบราฮิมพยายามเกลี้ยกล่อมพระเจ้าองควิชัยแต่ไม่สำเร็จ จึงหันไปเกลี้ยกล่อมระเด่นปาตาซึ่งเป็นพระราชโอรสให้หันมาเข้ารีตนับถืออิสลามได้สำเร็จ ด้วยความช่วยเหลือของกองทัพอาหรับ ระเด่นปาตาได้กระทำปิตุฆาต สถาปนาตนเองขึ้นเป็นสุลต่าน และประกาศยกอิสลามเป็นศาสนาประจำอาณาจักร ศาสนาอิสลามจึงแผ่เข้าสู่เกาะต่างๆ อย่างรวดเร็ว เจ้าเมืองต่างๆ ที่เกรงกลัวภัยต่างพากันเข้ารีตนับถืออิสลาม ส่วนผู้ที่นับถือศาสนาพราหมณ์และพุทธศาสนาที่ไม่ต้องการเปลี่ยนศาสนา ได้พากันหนีภัยลงไปอยู่ที่เกาะบาหลี จนกระทั่งถึงทุกวันนี้