วันอังคารที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2556


          เชื่อว่าหลาย ๆ คนเคยได้ยินเรื่องราวตำนาน "คุกอัลคาทราซ" ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นคุกโหดที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ที่ไม่มีใครสามารถที่จะหลบหนีออกมาได้โดยง่าย และมีนักโทษจำนวนไม่น้อยที่ต้องสังเวยชีวิต ณ ทัณฑสถานแห่งนี้ โดยในวันนี้กระปุกดอทคอมก็มีเรื่องราวที่น่าสนใจของ คุกอัลคาทราซ มาฝากเพื่อน ๆ กันค่ะ
          สำหรับเกาะอัลคาทราซ เป็นเกาะเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่กลางอ่าวซานฟรานซิสโก ในแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ถูกค้นพบครั้งแรกในปี ค.ศ. 1775 (พ.ศ. 2318) โดยฆวน มานูเอล เด อยาลา อี อรันซา นักเดินเรือชื่อดังชาวสเปน และได้ตั้งชื่อเกาะอันโดดเดี่ยวแห่งนี้ว่า "ลา อิสลา เด โลส อัลกาตราเซส" ใน ภาษาสเปน อันหมายถึงเกาะที่เต็มไปด้วยนกทะเล เนื่องจากไม่ปรากฏว่ามีสิ่งมีชีวิตอื่นใดที่จะสามารถเข้าและออกจากเกาะแห่ง นี้ได้นอกจากนกทะเลเท่านั้น จนกระทั่งเมื่อชาวอังกฤษเดินทางเข้ามาในบริเวณดังกล่าวก็ได้เรียกขานเกาะอัล กาตราเซสแห่งนี้ว่า "อัลคาทราซ" ตามสำเนียงภาษาตัวเอง
          เดิมทีเกาะแห่งนี้ถูกใช้สำหรับเป็นที่ตั้งประภาคารของพวกนักเดินเรือ แต่ด้วยความโดดเดี่ยวห่างไกลของเกาะแห่งนี้ บวกกับคลื่นลมที่ปั่นป่วนรุนแรงในอ่าวซานฟรานซิสโกตลอดทั้งปี ทำให้เกาะแห่งนี้ได้ถูกใช้เป็นสถานที่คุมขังนักโทษทางการเมืองในสมัยสงครามกลางเมืองอเมริกันตั้งแต่ปี ค.ศ. 1861 (พ.ศ. 2404)
          จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1934 (พ.ศ. 2477) สำนักงานราชทัณฑ์ของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ หรือ เอฟบีพี ได้ตัดสินใจเปิดเรือนจำขึ้นบนเกาะแห่งนี้ โดยมีการก่อสร้างอาคารและสิ่งปลูกสร้าง รวมถึงป้อมค่ายต่าง ๆ เพิ่มเติมจากสมัยสงครามกลางเมือง เพื่อใช้เป็นสถานที่สำหรับรองรับบรรดานักโทษระดับแถวหน้าของประเทศ เจ้าพ่อมาเฟีย โจรปล้นธนาคาร รวมถึงอาชญากรสุดโฉดที่ไม่มีเรือนจำแห่งใดในประเทศเอาอยู่ ภายใต้ระบบการ รักษาความปลoดภัยที่มีความเข้มงวดสูงสุด หรือที่เรียกกันว่าเป็นเรือนจำระดับ "ซูเปอร์แม็กซ์" ซึ่งนักโทษชื่อดังหลายคน เช่น อัล คาโปน, รอเบิร์ต สเตราด์, จอร์จ เคลลี, เจมส์ บัลเจอร์ และแอลวิน คาร์ปิส ก็เคยถูกคุมขังในเรือนจำแห่งนี้
          ทั้งนี้ จาก สถิติความพยายามของนักโทษที่จะหลบหนีจากความโหดร้ายทารุณภายในเรือนจำแห่ง นี้ พบว่ามีทั้งสิ้น 14 ครั้งและมีนักโทษที่พยายามหลบหนีออกจากเกาะอัลคาทราซทั้งสิ้น 36 คน แต่ไม่เคยมีใครทำสำเร็จ โดยนักโทษ 23 คน ถูกตามจับกลับมาและโดนทรมานปางตาย อีก 6 รายถูกยิงทิ้งขณะหลบหนีส่วนที่เหลือแม้จะหนีออกมาจากเกาะได้ แต่ก็มีอันต้องจมน้ำเสียชีวิตในอ่าวซานฟรานซิสโก
          อย่างไรก็ตาม เมื่อ วันที่ 20 มีนาคม ปี 1963 (พ.ศ. 2506) คุกอัลคาทราซได้ปิดตัวลงอย่างเป็นทางการ จากคำสั่งของ โรเบิร์ต เอฟ เคนเนดี รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ที่เห็นว่าค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการ เรือนจำแห่งนี้สูงมากเมื่อเทียบกับเรือนจำอื่น ๆ ในประเทศ อีกทั้งตัวอาคารและสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ บนเกาะอัลคาทราซถูกกัดกร่อนด้วยฤทธิ์ของเกลือจากน้ำทะเลจนเสื่อมสภาพยากจะ ซ่อมแซม
          แต่ต่อมา พื้นที่แห่งนี้ได้เปิดเป็นศูนย์ฝึกอบรมอาชีพให้กับคนพื้นเมืองอเมริกัน ในปี พ.ศ. 2512-2514 ก่อนจะถูกปิดไปอีกครั้ง และในปีต่อมาเกาะอัลคาทราซก็ถูกโอนเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติ "Golden Gate National Recreation Area" และเปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์
          และ ด้วยกิตติศัพท์ความเป็นคุกที่โหดที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และมีนักโทษจำนวนไม่น้อยที่เสียชีวิตในคุกแห่งนี้ ก็ทำให้มีนักท่องเที่ยวบางส่วนเปิดเผยเช่นกันว่า พวกเขามักได้ยินเสียงประหลาด ๆ เช่น เสียงตัดเหล็ก เสียงปิดประตูห้องขัง หรือเสียงหวีดร้องจากห้องใต้ดิน ซึ่งยังคงมีผู้ได้ยินอยู่อย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน แม้เรือนจำแห่งนี้จะปิดตัวไปนานมากแล้วก็ตาม

วันเสาร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2556

10 เหตุการณ์พลีชีพที่สะเทือนใจคนทั้งโลก


อันดับที่ 10: ปูปูตันที่บาหลี
ปู ปูตัน เป็นคำในภาษาบาหลี แปลได้ว่า การพลีชีพ เรื่องราวนั้น เริ่มจากการที่ฮอลันดาต้องการจะยึดบาหลีทางใต้โดยอ้างว่าจะไปกู้ซากเรือจีน และให้อาณาจักรบาดุง ซึ่งเป็นหนึ่งในอาณาจักรของคนพื้นเมือง จ่ายค่าชดเชย 3,000 เหรียญเงิน แต่ทางบาดุงไม่ยอม กลุ่มทหารเลยเริ่มโจมตีที่เมืองเดนปาซาร์ ซึ่งเป็นของอาณาจักรบาดุง แต่ทางฝ่ายบาดุงกลับใช้วิธีแบบนักรบก็คือ การพลีชีพ
โดยบรรดาเชื้อ พระวงค์ทรงเผาพระราชวังและแต่งพระองค์เต็มพระยศพร้อมทรงกริช ทรงดำเนินพร้อมกับเหล่านักบวชและข้าราชบริพารเข้าต่อสู้ แต่ทั้งหมดไม่ยอมจำนน กลับแทงตัวตายด้วยกริชแทน เหตุการณ์ในครั้งนั้นมีชาวบาหลีเสียชีวิตประมาณ 4,000 คน และอีกหลายๆอาณาจักรที่ฮอลันดาบุกโจมตี ก็ทำการปูปูตันแบบอาณาจักรบาดุงอีกมากมายเช่นกัน
อันดับที่ 9: ลัทธิ Solar Termple
Solar Temple เป็นลัทธิๆหนึ่งที่ถูกสร้างโดย ลุค จูเรต์ โดยทำให้สาวกทุกคนเชื่อว่า ตัวเองคืออัศวินแห่งเทมพลาร์ในศตวรรษที่ 14 และ ในปี ค.ศ.1984 ลุค จูเรต์ก็กลายเป็นศาสดาที่มีสาวกเป็นจำนวนมาก แต่อาการทางประสาทของจูเรต์เริ่มถึงขีดสุดในปี ค.ศ.1994 เมื่อจูเรต์ถือดาบกวัดแกว่งไปมาแล้วแทงทารกวัย 3 เดือนตายคาที่ โดยกล่าวหาว่าเป็นผู้ต่อต้านพระคริสต์มาเกิดต่อหน้าพ่อแม่ของเด็กคนนั้น
อีก 15 วันต่อมา จูเรต์ก็เอายาพิษผสมเครื่องดื่มให้สาวกคนสนิท 15 คนกินจนชักเหมือนหนูโดนยาเบื่อ ส่วนคนไม่ดื่มก็ถูกยิง หรือไม่ก็ถูกรมควันจนสำลักตาย เมื่อตำรวจบุกเข้าไปก็พบแต่ศพเกลื่อนสำนักไปหมดนับได้ 75 ศพ มีทั้งที่ฆ่าตัวตายและถูกฆาตกรรม รวมทั้งตัวจูเรต์ก็กลายเป็นศพไปด้วย
อันดับที่ 8: ฮาราคีรี
ฮาราคีรี หรือ เซ็ปปุกุ เป็นการฆ่าตัวตายอย่างนึงในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีมาตั้งแต่ยุคสมัยซามูไร โดยซามูไรทุกคนจะถูกสอนในเรื่องเกียรติและศักดิ์ศรีของตัวเองมาก หากตัวเองพ่ายแพ้ต่อศัตรูหรือเจอเหตุการณ์อัปยศอดสู ซามูไรเหล่านั้นก็ยินดีที่จะตายด้วยมือของตัวเอง โดยใช้ดาบสั้นคว้านท้องตัว เพื่อชดใช้ความอับอายและแสดงความกล้าของตัวเอง ส่วนผู้หญิงที่อยู่ในครอบครัวของซามูไรก็ต้องทำพิธี ไจไก (Jigai) หรือการตัดเส้นเลือดใหญ่ที่ต้นคอซึ่งจะทำให้ตายในทันทีด้วยเช่นกัน เพื่อไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามจับตัวไปเป็นเชลยหรือกระทำมิดีมิร้าย
ยก ตัวอย่างเหตุการณ์ในเรื่อง The Last Samurai ที่ศึกสุดท้าย คัทซึโมโต้ ได้กระทำการฮาราคีรีตัวเอง เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นถึงจิตวิญญาณความเป็นนักรบสายเลือดบูชิโด ดีกว่าต้องตายด้วยน้ำมือของศัตรูนั่นเอง
อันดับที่ 7: กลุ่ม Sikarii
เรื่อง นี้มีที่มาตั้งแต่สมัยที่มีการใช้ดาบและธนูเป็นอาวุธ เริ่มต้นจากการที่ทหารโรมันได้เข้าทำมาทำลายระบบการปกครองของชาวยิวใน ปาเลสไตน์และเข้ามาปกครองเอง เหล่ากลุ่มชาวยิวหัวรุนแรงก็ได้รวมกลุ่มกันและใช้ชื่อว่า Sikarii โดยในช่วงแรก กลุ่ม Siikari ยังไม่มีการใช้กำลังรุนแรงใดๆ
แต่เมื่อ ทหารโรมันเริ่มฆ่าแบบไร้เหตุผล กลุ่ม Siikari จึงเริ่มใช้ความรุนแรงบ้าง โดยการ ทำร้ายชาวยิวที่เข้าร่วมกับฝ่ายโรมัน ทหารโรมัน หรือเจ้าหน้าที่ชั้นสูง สาเหตุที่ทำแบบนี้ก็เพื่อต้องการบอกว่า ในเมื่อคนยิวที่อยู่ใต้การดูแลของโรมันยังตายได้ แล้วไหงถึงไว้ใจ ฝากชีวิตไปอยู่กับโรมันได้อีก นอกจากนี้ยังได้ทำการเป่าหูให้คนยิวเกลียดชังชาวโรมันมากขึ้น และในที่สุด กลุ่ม Siikari ก็เริ่มมีคนเข้ามาอยู่มากขึ้น
อย่างไรก็ตามการต่อต้าน ดังกล่าวสิ้นสุดลง ภายหลังจากที่โรมันได้ปิดล้อมกลุ่ม Sicarii ที่เมือง Masada กลุ่ม Sicarii ได้ปฏิเสธที่จะยอมแพ้และได้ฆ่าตัวตายพร้อม ๆ กัน ทั้งผู้หญิงและเด็กนับเป็นจำนวนพัน
อันดับที่ 6: พิธีเยาฮาร์ อินเดีย
การ ฆ่าตัวตายอันนี้ มีสาเหตุมาจากสงครามกับเปอร์เซียที่ยกทัพบุกมาอินเดีย โดยราชบุตร นักรบผู้มีเชื้อสายของกษัตริย์ตัดสินใจเผาลูกเมียของตนทุกคนเมื่อเห็นว่า กำลังจะแพ้สงครามดีกว่ายอมให้ถูกจับกุม หรือถูกบังคับให้เปลี่ยนศาสนา ก่อนที่ตนจะกลับเข้าไปสู่สนามรบและตายอย่างมีเกียรติ พิธีการฆ่าหมู่ลูกเมียของตนในครั้งนั้นเรียกว่า พิธีเยาฮาร์ (Jauhar) ซึ่งเกิดขึ้นเฉพาะการรบกับประเทศมุสลิมเท่านั้น
อันดับที่ 5: เผาตัวตายประท้วง ที่เวียดนาม
การ พลีชีพครั้งนี้ เป็นเหตุการณ์ในช่วงที่รัฐบาลเวียดนามออกนโยบายกีดกันศาสนา ซึ่งมีนโยบายให้ประชาชนนับถือศาสนาคริสต์แทนศานาพุทธ (แต่ภายหลังก็ยกเลิกนโยบายนี้ไป) โดยมีเจ้าอาวาสรูปหนึ่งได้ทำการประท้วงด้วยการ เผาตัวเองประท้วงนโยบายของรัฐบาล โดยราดน้ำมันใส่ตัวแล้วเผาตัวเองตายในท่านั่งสมาธิ หลังจากที่มรณะภาพแล้วพบว่า หัวใจของท่านไม่ได้มอดไหม้ไปกับเปลวไฟ จึงได้นำมาเก็บรักษาไว้ที่สถูปทองคำภายในวัด
อันดับที่ 4: ลัทธิ Heaven's Gate
Heaven's Gate หรือ ประตูสวรรค์ เป็นลัทธิที่เชื่อในเรื่อง UFO ก่อตั้งโดย มาแชลล์ แอปเปิ้ลไวท์ โดยเค้าได้ฝังความเชื่อว่า มนุษย์ไม่ได้มาจากพระเจ้า แต่มาจากมนุษย์ต่างดาว และยังบอกอีกว่า โลกใบนี้กำลังจะถูกชำระล้างใหม่ และวิธีที่จะรอดจากเหตุการณ์นี้คือ ชิ่งตัวตายก่อนแล้วจากนั้น จะมี UFO มารับดวงวิญญาณไปยังดาวเคราะห์ที่อยู่ด้านหลังดาวหาง Hale-Bopp
ภาพศพที่ฆ่าตัวตายหมู่ของลัทธิ Heaven's Gate
ผล สุดท้ายก็คือ มีการฆ่าตัวตายหมู่ในวันที่ 26 มีนาคม ปี 1997 ที่คฤหาสน์ในเมืองซาดิเอโก โดยในวันนั้น เป็นช่วงที่ดาวหาง Hale-Bopp มาเยือนโลกพอดี และเหตุการณ์นี้ มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 39 คน รวมถึงตัวเจ้าของลัทธิได้ ส่วนสาเหตุการตายนั้น มากจากการดื่มวอดก้าผสมยาพิษแบบรุนแรงเข้าไป
อันดับที่ 3: ลัทธิ The Branch Davidian
ฃลัทธิ นี้เป็นอีกลัทธิหนึ่งที่สร้างโศกนาฏกรรมอย่างใหญ่หลวงเหมือนกัน (จำได้ว่าเคยดูข่าวนี้ด้วย) ถูกสร้างโดย เดวิช โคเรช ซึ่งเค้าแอบอ้างว่า เค้าเป็นตัวแทนจากพระเจ้าที่จะมาทำหน้าที่หว่านเมล็ดพันธุ์ใหม่ในวันสิ้นโลก และเมล็ดพันธุ์เหล่านี้ก็คือ สาวกทั้งหลายนั่นเอง และยังบอกอีกว่า พระเจ้ากำหนดให้เค้าต้องมีเมียถึง 140 คน (โลภเกิ๊นน)
แต่ แล้วเหตุการณ์เลวร้ายก็เริ่มขึ้น เมื่อทางการจับได้ว่า เจ้าลัทธิได้ก่อคดีทารุณเด็กและสตรี อีกทั้งยังสะสมอาวุธสงครามอีก และในปี 1993 FBI ก็ไล่ต้อนเค้ากับสาวกได้ที่รัฐเท็กซัส แต่ตัวเดวิชไม่ยอมมอบตัว สุดท้ายเค้าเลยตัดสินใจ เผาบ้านที่ใช้เป็นที่หลบซ่อนพร้อมกับเหล่าสาวก ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างเป็นทางการ 79 คน ซึ่งแต่ละศพที่เห็นก็ยากเกินจะบรรยายได้
อันดับที่ 2: กลุ่ม MRTC ประเทศอูกันดา
MRTC ย่อมาจาก Movement for the Restoration of the Ten Commandments of God หรือถ้าแปลเป็นไทยก็ กลุ่มเคลื่อนไหวเพื่อบูรณะบัญญัติ 10 ประการ กลุ่มนี้ถูกจัดตั้งโดย นางซีเครโดเนีย กับ นายคิบเบเทีย โดยนางซีเครโดเนีย อ้างว่า สามารถติดต่อกับพระแม่มารีได้ ส่วนนายโจเซฟก็ถูกนางซีเครโดเนียแต่งตั้งให้เป็นศาสดา โดยทั้งคู่ตั้งกลุ่มมาจริงๆเพื่อต้ิองการหลอกเอาเงินและมีอำนาจเหนือชาวบ้าน อีกทั้งยังตั้งกฏให้สาวกคุยกันด้วยภาษามืออย่างเดียว และให้กินข้าวได้เฉพาะวันจันทร์กับวันศุกร์เท่านั้น
ส่วนผลงานของ ลัทธินี้คือ มีชาวอูกันดาฆ่าตัวตายไปพันกว่าคน เพราะนางซีเครโดเนียบอกว่า จะเกิดวันสิ้นโลกในวันที่ 1 มกราคม ปี 2000 แต่เอาเข้าจริงก็ไม่เกิไรขึ้น นางเลยเฉไฉไปว่า พระเจ้าเลื่อนวันออกไปเป็นวันที่ 17 มีนาคม ถ้าหากอยากรอด ก็ต้องชิงฆ่าตัวตายก่อน สุดท้ายเลยมีเหยื่อกินยาพิษฆ่าตัวตายกันเป็นแถบ คนที่ไม่ตาย ก็ถูกแทงบ้าง ทุบหัวบ้าง
และในวันที่ 17 มีนาคม นางก็ได้นัดสาวกไปที่โรงนาแห่งหนึ่ง พร้อมกับทานอาหารมื้อสุดท้าย ก่อนจะจุดไปเผาโรงนานั้นทิ้ง สรุปแล้วมีผู้เสียชีวิตไป 513 ศพ นอกจากนี้ยังพบศพในที่ดินของนายคิบเทเวียอีก 265 ศพ ซึ่งแต่ละศพนั้น ถูกฆ่าหรือไม่ก็วางยาพิษ ส่วนนางซีเครโดเนียถูกจับได้ในเดือนถัดมา
อันดับที่ 1: การพลีชีพที่ Jonestown
การ พลีชีพนี้ถือว่าเป็นสุดยอดแห่งความสูญเสียก็ว่าได้ ซึ่งมีสาเหตุมาจากลัทธิอีกล่ะ ก่อตั้งโดย จิมส์ โจนส์ ซึ่งอ้างว่า ตัวเองเป็นนักบุญมาตั้งแต่เกิดพร้อมทั้งโจมตีศาสนาอื่นๆ และยังคอยรวบรวมเหล่าสาวกจนได้เป็นจำนวนมาก ต่อมาเจ้าลัทธิคนนี้ก็ย้ายสาวกไปตั้งเมืองใหม่ ชื่อว่า Jonestown ซึ่งตัดขาดจากโลกภายนอกและมีสมาชิกถึงพันกว่าคน
ต่อมาได้มีสมาชิก รัฐสภาชื่อว่า ลีโอ รายอัน ได้รับการร้องเรียนจากอดีตสาวกและครอบครัวสาวกที่อยู่ที่ Jonestown นายลีโอ รายอันจึงเดินทางไปยังเมืองนี้พร้อมกับนักข่าวอีก 3 คน แต่ตอนขากลับ รายอันได้แอบพาสาวกที่กลับใจออกมา แต่สุดท้ายความแตก เลยโดนฆ่าตายเกลี้ยง
วาระ สุดท้ายมาถึง เมื่อนายจิมรู้ว่า ยังไงตำรวจก็ต้องมาจับเค้าไปเพราะดันไปฆ่าสมาชิกรัฐสภา เึค้าเลยเรียกสาวกมาประชุมพร้อมกันและให้ฆ่าตัวตายด้วยการดื่มยาพิษไซยาไนท์ หลังจากสิ้นเสียงประกาศของนายจิม คนก็เริ่มทยอยฆ่าตัวตายกัน ส่วนบางคนที่ไม่เห็นด้วยก็ถูกสาวกคนอื่นๆ ฆ่าตาย สรุปแล้ว มีผู้เสียชีวิตไปกว่า 914 คน ส่วนนายจิมถูกพบบนแท่นเวที ในสภาพมีรอยกระสุนถูกยิงเข้าที่ขมับ

วันศุกร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2556

10 อันดับ สายการบินที่ดีที่สุดในโลก ปี 2012 และแย่ทีสุดในโลก


อันดับ 1 สายการบินสิงคโปร์ แอร์ไลน์ส
91.33 คะแนน
สายการบินที่ดีที่สุดในโลก 2012
สายการบินที่ดีที่สุดในโลก ปี 2012 อันดับ 2 สายการบินแอร์นิวซีแลนด์
87.63 คะแนน
สายการบินที่ดีที่สุดในโลก 2012
สายการบินที่ดีที่สุดในโลก ปี 2012 อันดับ 3 สายการบินเอมิเรตส์ แอร์ไลน์ส
86.88 คะแนน
สายการบินที่ดีที่สุดในโลก 2012
สายการบินที่ดีที่สุดในโลก ปี 2012 อันดับ 4 สายการบินโคเรียนแอร์
(85.97 คะแนน) ปีที่แล้วติดอันดับที่ 8
สายการบินที่ดีที่สุดในโลก 2012
สายการบินที่ดีที่สุดในโลก ปี 2012 อันดับ 5 สายการบินคาเธย์แปซิฟิก
85.86 คะแนน
สายการบินที่ดีที่สุดในโลก 2012
สายการบินที่ดีที่สุดในโลก ปี 2012 อันดับ 6 สายการบินเอเซียน่า แอร์ไลน์ส (ของเกาหลีใต้)
85.59 คะแนน
สายการบินที่ดีที่สุดในโลก 2012
สายการบินที่ดีที่สุดในโลก ปี 2012 อันดับ 7 สายการบินกาตาร์ แอร์เวย์ส
84.93 คะแนน
สายการบินที่ดีที่สุดในโลก 2012
อันดับ 8 สายการบินเวอร์จิ้น แอตแลนติก แอร์เวย์ส สัญชาติอังกฤษ สิงคโปร์แอร์ไลน์ถือหุ้น 49%
83.80 คะแนน
สายการบินที่ดีที่สุดในโลก 2012
สายการบินที่ดีที่สุดในโลก ปี 2012 อันดับ 9 สายการบิน ไทยแอร์เวย์ส อินเตอร์เนชั่นแนล (การบินไทย)
83.25 คะแนน
สายการบินที่ดีที่สุดในโลก 2012
สายการบินที่ดีที่สุดในโลก ปี 2012 อันดับ 10 สายการบินอีวีเอ แอร์ (ของไต้หวัน)
83.00 คะแนน
สายการบินที่ดีที่สุดในโลก 2012

สายการบินที่อันตรายที่สุดในโลก 10 อันดับ

อันดับ 10 คือสายการบินการูด้าของอินโดนีเซีย บินสำเร็จ 2 ล้านเที่ยว อุบัติเหตุรุนแรง 4 ครั้ง ตาย 352 คน


อันดับ 9 คือสายการบินไทย ระบุเหตุผลว่า แม้การบินไทยได้รับรางวัลใหญ่มาแล้วมากมาย เช่น มีลูกเรือดีที่สุด และสายการบินที่ดีที่สุดในโลกเมื่อปี 2549 อีกทั้งได้รับการยกย่องว่ามีสุขลักษณะในห้องโดยสารเป็นเลิศจากองค์การอนามัยโลก แต่นับย้อนไปช่วงทศวรรษที่ 80-90 นับเป็นหนึ่งในสายการบินที่ควรหลีกเลี่ยงจากการเกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง ครั้งรุนแรงที่สุดเกิดขึ้นเมื่อปี 2535 เที่ยวบินที่ออกจากกรุงกาฐมาณฑุ ประเทศเนปาล มายังกรุงเทพฯประสบอุบัติเหตุตก มีผู้เสียชีวิตไป 113 ราย รวมแล้วการบินไทยมีเที่ยวบินที่ทำการบินสำเร็จ 1.98 ล้านเที่ยว เกิดอุบัติเหตุรุนแรงทำให้ผู้เสียชีวิตแล้ว 4 ครั้ง มีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น 352 คน


อันดับ 8 สายการบินอาเวียงกา ของโคลมเบีย บินสำเร็จ 1.47 ล้านเที่ยว อุบัติเหตุรุนแรง 4 ครั้ง ตาย 500 คน


อันดับ 7 ปากีสถาน อินเตอร์ เนชั่นแนล แอร์ไลน์ส บินสำเร็จ 1.43 ล้านเที่ยว อุบัติเหตุรุนแรง 5 ครั้ง ตาย 440 คน


อันดับ 6 อียิปต์แอร์ บินสำเร็จ 1.07 ล้านเที่ยว อุบัติเหตุรุนแรง 4 ครั้ง ตาย 402 คน


อันดับ 5 เคนยา แอร์เวย์ส บินสำเร็จ 450,000 เที่ยว อุบัติเหตุรุนแรง 2 ครั้ง ตาย 107 ราย


อันดับ 4 ฟิลิปปินส์ แอร์ไลน์ส บินสำเร็จ 1.18 ล้านเที่ยว อุบัติเหตุร้ายแรง 6 ครั้ง ตาย 107 ราย


อันดับ 3 อิหร่านแอร์ บินสำเร็จ 970,000 เที่ยว อุบัติเหตุร้ายแรง 5 ครั้ง เสียชีวิต 708 ราย


อันดับ 2 คือ ไชน่า แอร์ไลน์ส บินสำเร็จ 910,000 เที่ยวบิน อุบัติเหตุร้ายแรง 6 ครั้ง เสียชีวิตไป 763 ราย


อันดับ 1 คือสายการบินคิวบานา แอร์ไลน์ส บินสำเร็จ 320,000 เที่ยว เกิดอุบัติเหตุรุนแรง 8 ครั้ง ตาย 404 คน 

วันจันทร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2556


ประเทศไทย” มีความสุขอยู่ในลำดับที่ 52 ของโลก ถือเป็นอันดับที่ 3 ในอาเซียนรองจาก ประเทศสิงคโปร์ ที่ได้ลำดับที่ 33 และมาเลเซียอันดับที่ 51 แต่มีระดับความมีอารมณ์ดีเป็นลำดับที่ 8 ของโลก และระดับการมีอารมณ์เสียน้อยเป็นลำดับที่ 14

ประเทศที่มีความสุขมากที่สุดในโลกจากการสำรวจ ครั้งนี้ ได้แก่
1.เดนมาร์ก
2.ฟินแลนด์
3.นอร์เวย์

ประเทศที่มีความสุขน้อยที่สุด 
1.โตโก
2.เบนิน
3.สาธารณรัฐแอฟริกากลาง

ด้าน น.ส.รัจนา เนตรแสงทิพย์ รองผู้อำนวยการสำนักงานสถิติแห่งชาติกล่าวว่า จากการสำรวจข้อมูลความสุขของคนไทยต่อเนื่อง 5 ปี พบว่าแนวโน้มคนไทยมีระดับความสุขเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ

โดยจังหวัดที่มีความสุขมากที่สุด 5 อันดับแรก จากคะแนนเต็ม 45 คะแนน ได้แก่
1. จ.นครพนม 36.70 คะแนน
2. จ.พิจิตร 36.39 คะแนน
3. จ.ตรัง 36.15 คะแนน 
4. จ.ชัยภูมิ 35.92 คะแนน
5.จ.กระบี่ 35.79 คะแนน 

ส่วนจังหวัดที่มีความสุขน้อยที่สุด 5 อันดับ คือ
1. จ.สมุทรสงคราม 26.92  คะแนน
2. จ.สมุทรปราการ 29.81 คะแนน
ส่วน กทม. ได้คะแนน 32.15 คะแนน อยู่อันดับที่ 65 ของตารางความสุข

วันอาทิตย์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2556


1. ประเทศไทย...ทำไมมีสรรพนามเรียกแทน ตัวเองและฝ่ายตรงข้ามมากมายหลายคำ ?
         ถ้า เป็นภาษาอังกฤษก็จะมีแค่ I กับ You ถ้าเป็นภาษาจีน ก็มี หว่อ กับ หนี่ แต่ภาษาไทยนี่มีเยอะมากกกก ตั้งแต่ ฉัน-เธอ , เรา-แก , ข้า-เอ็ง , ผม-คุณ , เดี๊ยน-หล่อน และอีกสารพัด เปลี่ยนไปตามสถานการณ์ต่างๆ ถ้าคุยกับพ่อแม่อาจจะเรียกตัวเองว่า หนู ถ้าคุยกับน้องสาวอาจจะเรียกตัวเองว่าฉัน แต่พอไปคุยกับเพื่อน อาจเรียกตัวเองว่าเรา เอ๊ะ นั่นน่ะสิ ทำไมคนไทยถึงมีสรรพนามเรียก แทนตัวเองและคนอื่นเยอะขนาดนี้
    
2. ประเทศไทย .... ทำไมเมืองหลวงชื่อยาวมาก ?
   ชาว ต่างชาติมักรู้จักกรุงเทพฯ ในนาม Bangkok แต่ถ้าใครได้รู้ชื่อ เมืองหลวงเต็มๆ ของกรุงเทพฯ รับรองว่าอึ้งทุกราย ก็ชื่อเมืองหลวง เต็มๆ ของกรุงเทพฯ เค้ามีชื่อว่า "กรุงเทพมหานคร อมรรัตน โกสินทร์  มหินทรายุธยา มหาดิลกภพ นพรัตนราชธานีบุรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์ มหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิต สักกะทัตติ
 ยวิษณุกรรมประสิทธิ์"  


3. ประเทศไทย .... ทำไมคนไทยนามสกุลยาวจัง ?
         ใน ขณะที่ชาวต่างชาติเค้านามสกุลสั้นๆ แค่ 2-3 พยางค์ บางชาติก็แค่พยางค์เดียว แต่คนไทยส่วนมากนามสกุลย๊าวยาว บางคนยาวกว่า 8-9 พยางค์ บางคนยาวเป็น 10 พยางค์ก็มี เวลากรอกเอกสารสำคัญๆ เรียกว่าเขียนเกินหน้ากระดาษกันเลยทีเดียว 

4. ประเทศไทย .... ทำไมคนไทยชอบ พิมพ์ 5555 ?
          ก็ เพราะว่าเลข 5 ในภาษาไทยออกเสียงว่า 'ห้า' หรือ พ้องไปเป็น 'ฮ่า' ดังนั้นเวลาพิมพ์หรือแชทกัน แล้วรู้สึก ตลกหรือขำ ก็จะพิมพ์แทน 'ฮ่าฮ่าฮ่า' ว่า '555'  บาง คนเผลอเอาไปพิมพ์แชทกับเพื่อนต่างชาติ รับรองว่า ฝรั่งงงทุกรายแน่ๆ 555 ไปๆ มาๆ เพื่อนต่างชาติของ เราดันติดเอาไปใช้คุยกับคนอื่นต่ออีกแน่ะ 555 อ้อ  แต่บางทีคนไทยด้วยกันเองก็มีงงบ้าง เช่น

ค่ารถ เท่าไรอะ
55
จะขำทำไม
เปล่าเฟ้ย หมายถึงค่ารถ 55 บาท 



5. ประเทศไทย .... ทำไมอะไรๆ ก็ตีเป็นเลขได้ ? 
       อู้ ยยย อย่าว่าแต่ฝรั่งเลยที่แปลกใจ คนไทยด้วยกันเองก็แปลกใจเหมือนกันว่าทำไมทุกอย่างถึงสามารถตีเป็นเลขได้ ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้(ต้นไม้ร้องไห้ มีน้ำไหลออกมาตลอดเวลา) สัตว์(ควายแรกเกิดมี 2 หัว) ของกิน(แตงโมเผือก) และอะไรอีกสารพัดก็สามารถเอามาตีเป็นเลขได้ คนไทยนี่สุดยอดจริงๆ

6. ประเทศไทย .... ทำไมชื่อเล่นคนไทยถึงแปลกจัง ?
       ก็ ชื่อเล่นคนไทยมีทั้งชื่อสัตว์(แมว กวาง นก กระต่าย) ผลไม้(ส้ม เปิ้ล มะปราง ชมพู่) ผัก(คะน้า แตงกวาต้นหอม ขิง)  ขนม(วุ้น ปุยฝ้าย เค้ก ลูกกวาด) เครื่องประดับ (แก้ว แหวน สร้อย)  เลข(หนึ่ง สอง สาม สี่) และอะไรอีกสารพัด เล่นเอาคนต่างชาติอึ้งว่าทำไมถึงตั้งชื่อกันอย่างนี้

            มีเพื่อนคนนึงชื่อแตงกวา คุณเธอไปเรียนต่อที่เกาหลีเลยจัดแจงเปลี่ยนชื่อตัวเองเป็น 'โออี' (ภาษาเกาหลีแปลว่าแตงกวา) ตอนออกไปแนะนำตัวหน้าชั้น ทั้งอาจารย์ทั้งเพื่อนขำกันยกใหญ่ว่าคนอะไรชื่อแตงกวา หารู้ไม่ว่าที่เมืองไทยชื่อแตงกวาออกจะน่ารัก ก็แหม มีใครเคยเจอชาวต่างชาติชื่อ cucumber rabbit necklace อะไรอย่างนี้มั้ยล่ะ?  ไม่มี๊ไม่มี มีแต่คนไทยเท่านั้นแหละที่สามารถเอาสิ่งรอบตัวมาตั้งเป็นชื่อเล่นได้ ! สุดยอดปะล่ะ ! 


7. ประเทศไทย .... ทำไม....ไหว้อะไรกันที่หน้า บ้าน ?  
     นั่น ก็หมายถึงศาลพระภูมิเองล่ะค่ะ ฝรั่งบางคน(หรือแทบทุกคน) ได้เห็นแล้วต้องเป็นงงว่า 'นี่คืออะไร บ้านนกเหรอ?' แล้วทำไม ต้องจุดธูปกับเอาของกินมาถวายบ้านนกด้วยล่ะ ? ดังนั้นก็ต้อง อธิบายกันซะยืดยาวว่าจริงๆ แล้วนั่นคือศาลพระภูมิที่เชื่อกันว่าเป็นที่ สิงสถิตย์ของเจ้าที่ที่คอยคุ้มครอง

     พี่ฝรั่งบางคนนึกครึ้มอกครึ้มใจอะไรไม่ทราบ ดันซื้อกลับ ประเทศไปซะหลายหลัง - -"อย่างนักบอลชื่อดังเดวิด เบคแฮม ก็เป็น อีกรายที่ซื้อศาลพระภูมิกลับประเทศไปตรึม

8. ประเทศไทย .... ทำไมต้องยืนตรงก่อนหนังฉายในโรงหนัง ?
            รับรองเถอะค่ะ ร้อยทั้งร้อยของชาวต่างชาติที่มีโอกาสได้เข้าไปในโรงหนังของบ้านเรา ต้องสงสัยทุกรายว่าทำไมต้องยืนตรงก่อนหนังฉาย ยังไงก็อย่าลืมอธิบายให้เค้าฟังด้วยนะคะว่า 'ต้องยืนตรงทุกครั้งที่ได้ยินเสียงเพลงสรรเสริญพระบารมี' (ไม่ว่าจะอยู่ในโรงหนังหรือไม่ก็ตาม) เพื่อเป็นการแสดงความเคารพถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของปวงชนชาวไทยนั่น เองค่ะ ..... เชื่อมั้ยคะว่า ชาวต่างชาติบางคนรู้สึกขนลุกและประทับใจต่อเพลงสรรเสริญฯ มาก บางคนมาเมืองไทยทีไร ต้องหาเวลาเข้าโรงหนัง ไม่ได้เข้าไปดูหนังหรอกนะคะ แต่เข้าไปยืนตรงแล้วฟังเพลง



9. ประเทศไทย .... ทำไมคนไทยต้องติดรูปนี้ไว้บนฝาบ้าน ?
         
 นั่นก็คือ พระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั่นเองค่ะ ซึ่งเป็นรูปที่คนไทยต้องมีกันทุกบ้านไม่ว่าจะอยู่ที่มุมไหนของประเทศไทย คนไทยบางคน(โดยเฉพาะในเมืองนอก)ถึงกับพกพระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์ ติดกระเป๋าสตางค์ พอฝรั่งเห็นเข้าก็แปลกใจว่า เอ๊ะ พกรูปใครมาน่ะ Do you know him personally (รู้จักเค้าเป็นการส่วนตัวเหรอ) ? เราไม่ได้รู้จักท่านเป็นการส่วนตัว แต่ท่านคือพ่อของคนไทยทุกคนที่พวกเราทั้งรักและจงรักภักดีต่างหาก....

วันอาทิตย์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2556

การดูแลผิวพรรณมือแห้ง แตก ลอกเป็นขุย ทำไงดี? ทางแก้อยู่นี่แล้ว!

มือแห้ง แตก ลอกเป็นขุย ส่วนใหญ่มักจะเกิดขึ้นบ่อยในช่วงหน้าหนาว แต่หากว่า มือแห้ง แตก ลอกเป็นขุย ของคุณนั้นเกิดอยู่ตลอดเวลาคงเกิดคำถามที่ค้างคาใจอย่างคำถามที่ว่า มือแห้ง แตก ลอกเป็นขุย ทำไงดี? ใช่ไหมล่ะค่ะ แต่คุณผู้หญิงอย่ากังวลใจกับคำถาม มือแห้ง แตก ลอกเป็นขุย ทำไงดี? อีกต่อไป เพราะวันนี้เรานำทางแก้ไขมาบอกให้คุณได้หายจากคำถามที่ว่า มือแห้ง แตก ลอกเป็นขุย ทำไงดี? กันแล้วค่ะ สำหรับวันนี้เราจะขอเสนอสูตรแก้มือแห้ง แตก ลอกเป็นขุย เพื่อให้มือของคุณกลับมามีผิวสวยแถมยังเนียนนุ่มขึ้นอีกด้วยค่ะ แล้วต่อไปคุณก็จะไม่ต้องเจอกับปัญหามือแห้ง แตก ลอกเป็นขุยอีกต่อไปค่ะ ว่าแล้วคุณผู้หญิงทั้งหลายพร้อมที่จะไปลุยกับสูตรมือสวยเนียนนุ่มกันรึยังเอ่ย...

มือแห้ง แตก ลอกเป็นขุย ทำไงดี


มือแห้ง แตก ลอกเป็นขุย ทำไงดี? กับ สูตรมือสวยเนียนนุ่ม

หลังจากอาบน้ำเสร็จแล้วก็ทาครีมชนิดเข้มข้นที่ทำขึ้นสำหรับผิวแห้งโดยเฉพาะ จากนั้นก็ใช้ผ้าขนหนูอุ่นๆ ชื้นๆ พันรอบมือทิ้งเเอาไว้ประมาณ 20 นาที (ความร้อนจากผ้าขนหนูจะช่วยทำให้เนื้อครีมแทรกซึมเข้าไปในผิวได้ล้ำลึกขึ้น) ทำอย่างนี้เป็นประจำก็จะช่วยให้มือชุ่มชื้นนุ่มเนียนขึ้นได้ ซึ่งก็หมายความว่ามือจะแห้งแตกและลอกน้อยลง แต่ถ้ามือคุณยังไม่ดีขึ้นคุณก็ควรไปพบแพทย์ผิวหนังเพื่อขอคำปรึกษา