วันพฤหัสบดีที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2555

10 อันดับชายหาดสำหรับพักผ่อนที่สวยที่สุดในโลก

 
10. WhiteHaven ชายหาดในประเทศออสเตรเลีย

9. Tulum Beach ในเม็กซิโก

8. Mnemba Lodge ในแทนซาเนีย สถานที่ที่จะได้เห็นสัตว์หลากหลาย เช่น เต่ายักษ์ ปูลม และปลาเขตร้อน

7. Lanikai Beach ,ฮาวาย ที่มีน้ำใสสีฟ้าที่คุณจะต้องชอบ

6. Kondoi, Corel Beach โอกินาวะ ประเทศญี่ปุ่น

5. Horseshoe Bay ในเบอร์มิวดา สถานที่ที่ทัวร์มีราคาแพงมากที่สุดในโลก แต่นักท่องเที่ยวนับพันที่มาที่นี่จะได้สนุกกับอากาศ คลื่น และทรายสีชมพู ที่สุดยอด!

4. Boracay อันโด่งดังของฟิลิปฟินส์

3. Anguilla เงียบ สะอาด ทั้นสมัย ชายหาดที่สมบูรณ์แบบที่จะสนุกสนานกับครอบครัวและเพื่อน

2. Maldives ชายหาดที่เงียบและสงบ ห่างจากความวุ่นวายในเมือง รีสอร์ทหรูหรามากมาย เมื่อคุณมาแล้วจะลืมไม่ลง

1. Fernando De Noronha ในประเทศบราซิล ชายหาดที่สวยที่สุดในโลก กับวิลล่าที่อยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ

















     

วันเสาร์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2555

วิจารณ์แซด! ช้างไทยกลายเป็นช้างแพนด้า

พลายพันล้าน ช้างไทยกลายเป็นช้างแพนด้า


เอ็นจีโอ-อส.รุมประณามเพนียดช้างอยุธยาทาสีช้างเป็นแพนดา ซัดไม่ถูกกาละเทศะ ทำให้เป็นตัวตลก (มติชนออนไลน์)
        ผู้สื่อข่าวรายงาน เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน ที่วังช้างอยุธยา ในเขตเพนียดหลวงคล้องช้าง จ.พระนครศรีอยุธยา นายลายทองเหรียญ มีพันธ์ เจ้าของวังช้างอยุธยา ให้ควาญช้างทดลองนำสีน้ำที่ปลอดภัย ซึ่งเป็นสีขาวทาลงบนตัวของพลายพันล้าน ซึ่งเป็นช้างเพศผู้ วัย 5 ขวบ โดยให้ทาสีขาวทำลวดลายให้เหมือนกับหมีแพนด้า และเมื่อทาสีขาวลงไปแล้ว ช้างไทยกลายเป็นช้างแพนด้าทันทีซึ่งสร้างความแปลกตาแก่ควาญช้าง นักท่องเที่ยว และเพื่อนช้างในวังช้างเป็นอย่างมาก
        โดย นายลายทองเหรียญ กล่าวว่า ทดลองทำดู เพราะนักท่องเที่ยวจำนวนมาก ทั้งชาวไทยและต่างประเทศที่เข้ามาเที่ยวชมช้างไทยที่วังช้างอยุธยา ก็พูดแนะนำว่า คนไทยให้ความสนใจหมีแพนด้ามาก โดยเฉพาะลูกของช่วงช่วงและหลินฮุ่ย ที่สวนสัตว์ จ.เชียงใหม่ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ดีที่คนไทยนิยมรักสัตว์ เพราะจะเป็นสัตว์อะไรก็น่ารักทั้งนั้น  และตนก็อยากจะร่วมฉลองกับหมีแพนด้าด้วยเช่นกัน ก็เห็นว่าควรนำช้างไทยที่เป็นช้างแสนรู้ ทำอะไรที่โชว์ความสามารถได้มากมาย 108 ประการ  มาทาสีทำให้เป็นช้างแพนด้า เพื่อสร้างความแปลกใหม่ และเป็นการรณรงค์ให้คนไทยเห็นว่า ช้างไทยก็มีความสามารถและน่ารักเช่นกัน
พลายพันล้าน ช้างไทยกลายเป็นช้างแพนด้า


        ด้านนายอิทธิพันธ์ ขาวละมัย ผู้จัดการวังช้างอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา เปิดเผยว่า ตนยอมรับว่าการทาสีช้างเป็นช้างแพนด้านั้น ใจจริงมีนัยยะแอบแฝงที่ต้องการประชดรัฐบาล และสื่อให้เห็นว่ากระแสสังคมและรัฐบาลให้ความสำคัญกับหมีแพนด้ามากเกินไป  ทั้งๆ ที่หมีแพนด้าเป็นสัตว์ทูตสันถวไมตรีจากประเทศจีน  และไม่ใช่สมบัติของไทยหรือสัตว์ของไทยแท้ๆ แต่ทุกคนกลับให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก และให้ความสำคัญจนโอเวอร์ กระทั่งเมินที่จะให้ความสำคัญกับสัตว์สายพันธุ์ของประเทศไทย ในทางกลับกัน ช้างเป็นสัตว์คู่บ้านคู่เมืองของประเทศไทย และทำคุณกับแผ่นดินไทยมามาก แต่รัฐบาลและคนไทยกลับไม่มีใครเห็นความสำคัญมากนัก โดยเฉพาะกรณีที่มีข่าวว่า จะมีการสร้างที่อยู่ให้หมีแพนด้าโดยใช้งบประมาณ 60 ล้านบาท ในความเป็นจริงตนมองว่าเป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณโดยใช่เหตุ เพราะอีกไม่นานหมีแพนด้าก็จะต้องกลับไปอยู่ที่ประเทศจีน ซึ่งเป็นบ้านเกิดและเป็นบ้านของเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่แท้จริงของหมีแพนด้า

        "มีกลุ่มคนเลี้ยงช้างเริ่มแสดงอาการไม่พอใจรัฐบาล และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่ยังไม่สามารถแก้ปัญหาช้างได้อย่างเป็นรูปธรรม จึงอาจจะมีการรวมตัวเรียกร้องเพื่อให้ช่วยเหลือช้างทั้งประเทศ" ผู้จัดการวังช้างอยุธยา กล่าว

        อย่างไรก็ตาม น.ส.โซไรดา ซาลวาลา เลขาธิการมูลนิธิเพื่อนช้าง กล่าวว่า การทำแบบนี้เป็นเรื่องที่น่าเกลียดอย่างมาก เพราะทำให้ช้างซึ่งเป็นเสมือนลูกหลานพญาช้างศึกกลายเป็นตัวตลก ทำให้ศักดิ์ศรีของความเป็นสัตว์ประจำชาติหายไป เรื่องนี้ไม่สมควรทำอย่างยิ่ง
        "ก่อนหน้านี้ดิฉันยอมรับว่า ไม่เคยเห็นด้วยกับการเอาแพนด้าเข้ามาอยู่ในประเทศไทย เพราะเป็นสัตว์ต่างถิ่น แต่เมื่อเข้ามาอยู่แล้วก็ต้องยอมรับในฐานะที่เป็นสัตว์สันถวไมตรีระหว่างไทยกับจีน ชื่นชมประเทศจีนมาก ที่เขาปกป้องสัตว์ประจำชาติของเขาทุกอย่าง ขณะที่ช้างไทยเองไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร ยิ่งปล่อยให้เอาสีมาป้ายตามตัวเป็นรูปหมีแพนด้าอีก มันเหมือนเรื่องตลกที่ขำไม่ออก" เลขาธิการมูลนิธิเพื่อนช้าง กล่าว

พลายพันล้าน ช้างไทยกลายเป็นช้างแพนด้า


        น.ส.โซไรดา กล่าวอีกว่า น่าเป็นห่วงว่าสีที่เอามาทาตามงวงและรอบขอบตาช้างนั้น จะเป็นอันตรายต่อตัวช้างหรือไม่ เพราะที่อ้างว่าเป็นสีน้ำนั้นไม่น่าจะใช่ เนื่องจากสีน้ำทาไม่ติดหนังช้าง วิธีการแบบนี้เป็นการทรมานช้างมากกว่าการบอกใครๆ ว่า ต้องการอนุรักษ์ช้าง

        ส่วนนายเกษมสันต์ จิณณวาโส อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช (อส.) กล่าวว่า การเอาช้างมาพ่นสีเป็นรูปหมีแพนด้าแบบนี้ ไม่น่าจะเกี่ยวกับเรื่องการอนุรักษ์ เพราะการอนุรักษ์ช้างนั้น ส่วนใหญ่จะแสดงออกมาถึงศิลปวัฒนธรรม การกิน การอยู่ ที่คนกับช้างทำร่วมกัน แบบนี้น่าจะเป็นเรื่องที่ไม่ถูกกาลเทศะมากกว่า อย่างไรก็ตามในส่วนของ อส. แล้ว ไม่ได้มีหน้าที่ดูแลเกี่ยวกับเรื่องช้างบ้าน เพราะดูแลช้างป่า แต่ถ้าเห็นว่าไม่เหมาะไม่ควรอาจจะตักเตือนบ้าง แต่กรณีนี้คิดว่าทางเพนียดช้างอยุธยาไม่น่าจะรับฟัง

        ด้าน นายโรเจอร์ โลหะนันท์ เลขาธิการพิทักษ์สัตว์ กล่าวว่า ในส่วนระดับความคิดแล้ว ช้างก็เหมือนกับหมา เจ้าของให้ทำอะไรก็ทำ กรณีเอาสีมาทาตัวช้าง ถ้าเป็นสีไม่ผสมทินเนอร์ไม่น่าจะมีปัญหา แต่ถ้าผสมช้างจะแสบมาก แต่กรณีช้างแพนด้านี้ ตนไม่เห็นด้วยที่เอาช้างมานั่งเลียนแบบแพนด้า ซึ่งจะทำให้ผิดสรีระของความเป็นช้าง

ช้างแพนด้า


        อย่างไรก็ตาม ล่าสุดวันนี้ (26 มิถุนายน) วังช้างอยุธยา  นำช้างจำนวน 5 เชือก คือ พลายนำโชค อายุ 12 ปี , พลายนพเก้า อายุ 6 ปี , พลายพันล้าน อายุ 5 ปี , พลายแซนต้า อายุ 2 ขวบ และ พังทองหยอด อายุ 3 ปี ซึ่งแปลงร่างเป็น ช้างแพนด้า เพราะถูกทาด้วยสีจนคล้ายหมีแพนด้า และมีบางตัวเขียนข้อความว่า "ช้างอยากเป็นแพนด้า" นำมารณรงค์ให้ประชาชนและเด็กๆ ได้ชมความน่ารักของช้างแพนด้า ที่แยกจิระศาสตร์ ถนนโรจนะ กลางเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยา พบว่า ได้รับความสนใจอย่างมาก
        ทั้งนี้มีการร้องขอให้คนในสังคมไทยให้ความสำคัญกับช้างไทยบ้าง เพราะขณะนี้ช้างไทยมีปัญหามากมาย ทั้งตกงาน อดอยาก ถูกใช้แรงงานอย่างหนัก ช้างเกิดอุบัติเหตุ ถูกไฟฟ้าช็อต จนถึงถูกลักพาตัวที่ จ.กระบี่ ยังหาตัวไม่พบ ปัจจุบันช้างไทยจำนวน 2,500 เชือก  ไม่มีใครให้ความสนใจที่จะช่วยเหลืออย่างจริงจัง แม้แต่รัฐบาลเองก็ไม่ยอมแสดงความช่วยเหลือแต่อย่างใด จึงจับช้างจากวังช้างอยุธยามาแปลงร่างเป็นช้างแพนด้า เพื่อประชดรัฐบาลและสังคมให้หันมาสนใจช้างไทยบ้าง

ช้างแพนด้า


        นายลายทองเหรียญ  มีพันธ์ เจ้าของวังช้างอยุธยา กล่าวว่า  สีที่นำมาทานั้นปลดภัยแน่นอน เพราะเป็นสีที่วังช้างเคยใช้ในการทำกิจกรรมร่วมกันช้างมาโดยตลอดกว่า 10 ปี แล้วผ่านการตรวจสอบตามหลักสากล ทั้ง USA หรือแม้แต่ในไทยเอง
ช้างแพนด้า


        นายลายทองเหรียญ กล่าวอีกว่า  ตนเองก็ไม่อยากตำหนินักอนุรักษ์ที่ออกมาโหนกระแสว่า เราทำเกินกว่าเหตุ นำช้างมาทำเป็นช้างแพนด้า เพราะที่วังช้างอยุธยา ทำงานเพื่อช้างไทยมาโดยตลอด เป็นการทำจริงพิสูจน์ได้ อาจไม่เหมือนบางคนที่ทำงานแบบโหนกระแสเท่านั้น และคำพูดของคนกลุ่มนี้ จะมาทำให้เราหยุดทำกิจกรรมเพื่อช้างไทยคงไม่ได้แน่นอน  เราจะทำต่อไปเพื่อคนไทยที่รักช้างไทย

        "การที่จะให้ช้างขึ้นหน้า 1 หนังสือพิมพ์ หรือออกข่าวช่วงดีๆ ในแต่ละช่อง เพื่อเป็นการปลูกจิตสำนึกในการรักช้างนั้น  จะต้องรอให้ช้างไทยตาย ตกท่อ โดนรถชน โดนไฟฟ้าช็อตจนบาดเจ็บสาหัส หรือตายเสียก่อนหรืออย่างไร จึงจะได้ขึ้นหน้า 1  เมื่อเราทำกิจกรรมที่ตรงใจสังคม และมีผลทางการประชาสัมพันธ์ให้คนมารักช้างไทย และสนใจช้างไทย ก็เป็นสิ่งที่ดีไม่ใช่หรือ เพราะไม่ต้องรอให้ช้างเจ็บหรือตาย  ปัจจุบันช้างที่เจ็บก็จะมีคนเข้าไปช่วยเหลือมาก ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีที่คนไทยให้ความสนใจ แต่ก็ควรดูช้างแก่และช้างที่ยังมีชีวิตอยู่ด้วย  การทำงานช่วยช้างก็ควรทำกันตลอด ไม่ใช่รอให้ช้างเจ็บหรือตายจึงจะเข้ามาช่วยกัน" นายลายทองเหรียญ กล่าว

ช้างแพนด้า


สงสารช้าง ควรอนุรักษ์ช้างเอาไว้เยอะๆ

เล่าเรื่อง ช้าง สัญลักษณ์ชาติไทย ร่วมใจอนุรักษ์ก่อนสูญพันธุ์!





เล่าเรื่อง ช้าง สัญลักษณ์ชาติไทย ร่วมใจอนุรักษ์ก่อนสูญพันธุ์! (เดลินิวส์)

          หลายครั้งที่มีข่าว "ช้าง"  ประสบอุบัติเหตุได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตทำให้รู้สึกสะเทือนใจอย่างยิ่ง และหากจะย้อนเหตุการณ์อันน่าสลดนี้กลับไปคงมีอีกหลายๆ ครั้งที่เรามักจะเห็นข่าวการสูญเสียช้าง สัตว์คู่บ้านคู่เมืองของไทยอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็น "พังกำไล" ที่ต้องสังเวยชีวิตจากอุบัติเหตุรถบรรทุกช้างเบรกแตกชนไหล่เขาจนได้รับบาดเจ็บสาหัสที่จังหวัดสระแก้ว ซึ่งแพทย์ไม่สามารถยื้อชีวิตไว้ได้ต้องจากไปอย่างน่าเวทนา
          วันเดียวกันกับที่พังกำไลประสบอุบัติเหตุเหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัดของ "พลายสมใจ" อายุ 8 ปี น้อยกว่าพังกำไล 2 ปี เจ้าของไม่ได้ล่ามโซ่ไว้ ออกไปเดินหาอาหารกินในกองขยะ ด้วยความซุกซนจึงใช้งวงรื้อขยะหยิบยาฆ่าหญ้ามากินจนเสียชีวิตที่จังหวัดเชียงใหม่ ต่อมามีเหตุร้ายเกิดขึ้นกับ "พลายพลุ" ลูกช้างวัย 3 ปี ตกท่อคอนกรีตเสริมเหล็กขณะควาญช้างพาเดินบนถนนทำให้ลูกช้างได้รับบาดเจ็บที่จังหวัดระยอง ล่าสุดควาญช้างพา "พังปวีณา" วัย 5 ปี เดินผ่านบริเวณที่มีการซ่อมผิวถนนไปเหยียบบริเวณที่มีไฟฟ้ารั่วถูกไฟช็อตตายอย่างอนาถ
   
          นี่เป็นเพียงสาเหตุส่วนหนึ่งที่พรากชีวิตช้างที่เป็นสัตว์ใหญ่ กล้าหาญ ทำงานหนักเพื่อบ้านเมืองเรามาตลอดตั้งแต่ครั้งโบราณกาล โดยในสมัยก่อนช้างเป็นสัตว์ที่ใช้ในการรบ ช้างศึกจึงเป็นของสำคัญของบ้านเมือง แต่ปัจจุบันนี้ "ช้างไทย" มีคุณภาพชีวิตที่แย่ลงและกำลัง เข้าสู่ภาวะสูญพันธุ์ ด้วยสาเหตุนานัปการ วรวิทย์ โรจนไพฑูรย์  ผู้อำนวยการสถาบันคชบาลแห่งชาติ องค์การอุตสหกรรม จ.ลำปาง เล่าย้อนถึงบรรพบุรุษช้างว่า เริ่มจากเมื่อประมาณ 50 ล้านปีที่ผ่านมา โลกของเรามีบรรพบุรุษช้างเกิดขึ้นมาตัวแรกชื่อ โมเออริเทอเรียม (Moeriterium) ที่ทะเลสาบโมเออริส ประเทศอียิปต์ จึงตั้งชื่อตามสถานที่ที่ค้นพบ มีรูปร่างไม่เหมือนช้างในปัจจุบันแต่คล้าย ฮิปโปโปเตมัส ลำตัวยาว ขาสั้น สูงประมาณ 60 เซนติเมตร ไม่มีงวง
   
          ถึงแม้บรรพบุรุษช้างจะมีรูปร่างหน้าตาแตกต่างกับช้างในปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง แต่สิ่งที่ทำให้นักวิทยาศาสตร์ทราบแน่ชัดคือกะโหลกหัวมีโพรงอากาศเหมือนช้างรุ่นปัจจุบันและมีงาเล็กๆ งอกจากขากรรไกรล่าง หลังจากมีโมเออริเทอเรียมเกิดขึ้น สัตว์ในสกุลช้างได้ขยายพันธุ์เป็นสายพันธุ์ต่างๆ มีรูปร่างหน้าตาแตกต่างกันออกไปแต่ลักษณะสำคัญๆ เช่น กะโหลกและฟันยังคงอยู่ร่วมกัน ช้างโบราณบางสายพันธุ์มีงาสองคู่ คือ งอกจากทั้งขากรรไกรบนและล่าง
   
          ช้างยุคแรกมีถิ่นอยู่ในทวีปแอฟริกาจนกระทั่งประมาณ 26 ล้านปีก่อนลูกหลานของโมเออริเทอเรียมอพยพเคลื่อนย้ายไปยังดินแดนต่างๆ ทั่วโลกยกเว้นออสเตรเลียกับแอนตาร์ก จากนั้นบรรพบุรุษช้างได้พัฒนาสายพันธุ์แตกหน่อออกไปอย่างไม่หยุดยั้งนับร้อยสายพันธุ์ แต่บางสายพันธุ์ปรับตัวไม่ได้ก็ค่อยๆ สูญพันธุ์ไป บางสายพันธุ์ปรับตัวได้ก็อยู่ได้ จนกระทั่งประมาณ 10,000 ปี ที่ผ่านมาลูกหลานของบรรพบุรุษช้างเหลืออยู่ 2 สายพันธุ์ คือ ช้างแอฟริกา และช้างเอเชีย     
          ช้างแอฟริกาที่สมบูรณ์เต็มที่จะสูงกว่าช้างเอเชียและมีงาทั้งตัวผู้และตัวเมีย ส่วนช้างเอเชียมีขนาดเล็กกว่าช้างแอฟริกา ตัวผู้มีงายาวเรียก ช้างพลาย ถ้าไม่มีงาเรียก ช้างสีดอ ส่วนตัวเมียจะไม่มีงาเรียก ช้างพัง โดยช้างเอเชียแบ่งออกเป็น 4 สายพันธุ์ย่อย ได้แก่ 1.ช้างสายพันธุ์สีลังกาหรืออินเดียใต้ 2.ช้างสายพันธุ์อินเดีย ซึ่ง ช้างไทยก็อยู่ในสายพันธุ์อินเดีย นี้รวมทั้งช้างพม่า ลาว เวียดนามด้วย 3.ช้างสายพันธุ์สุมาตรา และ 4.ช้างสายพันธุ์บอร์เนียว


   
          ในอดีตประเทศไทยมีช้างเลี้ยงและช้างป่าประมาณ 100,000 เชือก ปัจจุบันจำนวนประชากรช้างไทยลดน้อยลงอย่างน่าใจหายเหลือเพียงประมาณ 5,000 กว่าเชือก แบ่งเป็นช้างป่าประมาณ 2,400 ตัว และช้างเลี้ยง ประมาณ 3,000 เชือก สาเหตุที่ช้างเลี้ยงลดน้อยลงเนื่องจากเจ้าของพาช้างแยกย้ายกันไปทำงาน ทำให้โอกาสที่ช้างตัวผู้และตัวเมียจะอยู่ใกล้ชิดและผสมพันธุ์กันมีน้อยมาก ซึ่งทางศูนย์พยายามใช้วิธีการผสมเทียม เพื่ออนุรักษ์พันธุ์ไว้ เพราะปัจจุบันพี่น้องช้างที่อยู่แวดวงใกล้เคียงกันมักมีปัญหาผสมพันธุ์กันเองทำให้เกิดพันธุ์ด้อย ที่ผ่านมาก็ประสบความสำเร็จสามารถใช้น้ำเชื้อผสมเทียมได้ลูกช้างแล้ว ทำให้ลดปัญหาด้านสายพันธุ์หรือช้างตัวเมียมดลูกผิดปกติหรือไม่ยอมให้ตัวผู้ผสมพันธุ์ 
   
          ส่วนสาเหตุของช้างป่าของไทยที่ลดน้อยลง ก็เนื่องจากมนุษย์บุกรุกพื้นที่ป่ารวมทั้งลักลอบค้าช้างป่า ทำให้พื้นที่ป่าและแหล่งน้ำเหลือน้อยลง ส่งผลให้ช้างป่าไม่มีอาหารกินจึงอพยพไปอยู่ที่อื่น นอกจากนี้ยังมีสาเหตุอื่นๆ อีก เช่น ช้างเพศเมียที่ผสมพันธุ์แล้วจะใช้เวลาในการตั้งท้องนานถึง 19-22 เดือน กว่าจะได้ลูกช้างแต่ละเชือกนานมาก และช้างที่ถูกเจ้าของหรือควาญนำมาเร่ร่อนเกิดอุบัติเหตุบ้างอย่างที่เห็นเป็นข่าว บางเชือกเจ้าของไม่มีประสบการณ์เมื่อเจ็บไข้ได้ป่วยก็ไม่สามารถดูแลรักษาได้ ทำให้มีอัตราการตายมากกว่าการเกิด โดยจากสถิติพบว่า อัตราการตายของช้างไทยมีมากถึง 150 เชือกต่อปี ถือว่ามากกว่าอัตราการเกิดในแต่ละปี จึงทำให้ประชากรช้างเข้าสู่สภาวะใกล้สูญพันธุ์เต็มที   
          ดังนั้นการดูแลรักษาช้างให้มีสุขภาพ และคุณภาพชีวิตที่ดีนั้น ผู้อำนวยการสถาบันคชบาลแห่งชาติ บอกว่า "คนเลี้ยงช้าง" หรือ "ควาญช้าง" มีส่วนสำคัญต่อช้างมากที่สุด ทางสถาบันฯ จึงได้ร่วมกับมูลนิธิ  เอเชียเฮ้าส์ประเทศเดนมาร์ก จัดทำโครงการฝึกอบรมควาญช้างในการดูแลช้างในประเทศไทยขึ้น โดยรุ่นแรกอบรมไปแล้ว เมื่อ วันที่ 9-11 สิงหาคม 2552 เพื่อให้ควาญช้างมีประสบการณ์ ความรู้เบื้องต้นในการเลี้ยงช้าง เช่น ช้างที่มีสุขภาพดีจะไม่ผอมไม่ซึม ต้องอ้วนท้วนสมบูรณ์หูและหาง พัดโบกแกว่งไกวตลอด หากมีอาการผิดปกติต้องรีบแจ้งแพทย์มาตรวจเพราะอาจจะเจ็บป่วยได้ นอกจากนี้ยังอบรมในเรื่องของสถานะช้างไทย กฎหมายเกี่ยวกับช้าง และอื่นๆ ซึ่งควาญช้างที่อบรมแล้วจะมีความรู้สามารถนำไปถ่ายทอดฝึกสอนควาญช้างคนอื่นๆ ต่อไปได้เพื่อให้ช้างไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและในอนาคตข้างหน้าจะได้ไม่สูญพันธุ์
   
          ช้างเป็นสัญลักษณ์ของชาติไทยและอยู่คู่บ้านเมืองเรามาโดยตลอด ยามศึกก็ช่วยรบจนสามารถกอบกู้เอกราชมาให้ประเทศได้ในหลายครั้ง หรือแม้กระทั่งยามบ้านเมืองสงบช้างก็ช่วยขนย้ายซุงหรือของหนักรวมทั้งเป็นพาหนะเพื่อแบ่งเบาภาระให้เราอีกมากมายมาหลายชั่วอายุคน
   
          ถึงเวลาแล้วที่เราจะช่วยกันอนุรักษ์สัตว์ใหญ่ที่มีค่าของชาติให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีเป็นสัญลักษณ์ประจำชาติไทยของเราสืบไป

วันพุธที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2555

เท้าเหม็นแก้ได้ง่ายนิดเดียว

กำจัดกลิ่นเท้า

เท้าเหม็นแก้ได้ง่ายนิดเดียว (Health Plus)

          หลายคนอาจเคยมีปัญหาเท้าเหม็น แต่ถ้าเท้าของคุณเป็นต้นเหตุของกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ทุกวันติดต่อกัน ไม่ต้องตกใจ เรามีสารพัดวิธีที่จะช่วยดับกลิ่นเท้าของคุณ

ความจริงเกี่ยวกับเท้า

          เท้ามีต่อมเหงื่ออยู่มากกว่า 250,000 ต่อม หรือเท่ากับ 3,000 ต่อมต่อตารางนิ้ว ซึ่งเมื่อเทียบต่อพื้นที่ผิวหนังหนึ่งนิ้วพบว่า มีต่อมเหงื่ออยู่มากกว่าต่อมอื่น ๆ เหงื่อที่ถูกผลิตออกมามากมายทำให้ผิวที่เท้าอ่อนนุ่ม ถ้าไม่มีเหงื่อ ผิวก็จะแห้งแตก ทำให้เจ็บเวลาเดิน

          ต่อมเหงื่อที่เท้าต่างจากต่อมเหงื่อบริเวณอื่นของร่างกาย ต่อมเหงื่อที่เท้าผลิตเหงื่อตลอดเวลา ไม่ว่าจะในช่วงอากาศร้อน หรือระหว่างออกกำลังกาย และเมื่อเท้าสามารถผลิตเหงื่ออกมาได้ถึงสัปดาห์ละ 4.5 ลิตร ทำให้เกิดความขึ้นมากมายกระจายไปตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายที่อยู่ในจุดซ่อนเร้น และนี่คือจุดเริ่มต้นของปัญหา

          เหงื่อไม่ได้มีกลิ่นเหม็น แต่แบคทีเรียที่อยู่บนผิวต่างหากที่เป็นต้นตอของกลิ่นอับชื้น เท้าซุกซ่อนอยู่ในรองเท้าตลอดวัน นั่นอาจทำให้อุณหภูมิที่เท้าพุ่งสูงขึ้น ซึ่งเหมาะกับการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย โดยกินของเสียที่อยู่ในเหงื่อและอินทรีย์วัตถุอื่น ๆ ที่อยู่ในถุงเท้าและรองเท้า ยิ่งแบคทีเรียขยายพันธ์มากเท่าไร กลิ่นก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น

ป้องกันได้อย่างไร

           ล้างเท้าให้สะอาด ล้างเท้าด้วยน้ำอุ่นอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ห้ามใช้น้ำร้อน เด็ดขาด ใช้หินพัมมิซขัดผิวหนังเท้าที่หยาบกร้านออก เพราะผิวที่ตายแล้วเหล่านี้จะเป็นจุดอับชื้น ทำให้แบคทีเรียเจริญเติบโตได้ดี ดังนั้นการเช็ดเท้าให้แห้งสนิทจึงเป็นสิ่งสำคัญ ควรโรยแป้งทาตัวให้ทั่วเท้าและซอกเท้า

           พักเท้า ไม่ควรใส่รองเท้าที่คับเกินไป เพราะจะทำให้เหงื่อออกมากขึ้น ดังนั้นควรสวมรองเท้าที่มีขนาดพอดีกับเท้า และหาโอกาสให้เท้าได้พักบ้าง

           ปลดปล่อยเท้า เพื่อให้เท้าได้หายใจ ระบายเหงื่อและกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้อย่างปลอดโปร่ง ควรถอดรองเท้าและถุงเท้าออก หัดเดินเท้าเปล่าบ้าง

           สวมถุงเท้าผ้าฝ้าย ถุงเท้าควรดูดซับน้ำได้ดี ถุงเท้าผ้าฝ้ายเหมาะที่สุด ถุงเท้าที่ทำจากขนสัตว์อุ่นเกินไป ไม่เหมาะกับเท้าที่มีเหงื่อออกมาก หลีกเลี่ยงถุงเท้าในลอน เปลี่ยนถุงเท้าทุกวัน อย่าสวมถุงเท้าที่สกปรกซ้ำ ๆ

           ซักถุงเท้าอย่างถูกวิธี นำถุงเท้าไปแช่ในน้ำร้อน แล้วค่อยซักกับผงซักฟอก จะช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ซักเสร็จตากให้แห้ง

           สวมรองเท้าหนัง อย่าสวมรองเท้าผ้าใบนาน ๆ เพราะทำจากใยสังเคราะห์ จึงมีอุณหภูมิที่เหมาะกับการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย เช่นเดียวกับรองเท้าที่ทำจากพลาสติก

           สวมรองเท้าคู่อื่นบ้าง อย่าสวมรองเท้าคู่เดิม 2 วันต่อเนื่องกัน ใช้รองเท้าสับเปลี่ยนหมุนเวียนกัน เพื่อให้รองเท้ามีโอกาสแห้ง นำรองเท้าออกมาผึ่งลมอย่างน้อย 24 ชั่วโมง เก็บรองเท้าที่ไม่ใช้ไว้ในที่อากาศถ่ายเทได้ดี

           ทำความสะอาดรองเท้า ถ้ารองเท้าอับชื้น นำไปผึ่งแดด จนแห้งสนิทจริง ๆ รวมถึงแกะเชือกรองเท้าออกทั้งหมด ยกลิ้นรองเท้าขึ้นเพื่อให้อากาศได้ถ่ายเททั่วถึงทั้งรองเท้าด้านใน ใช้แอลกอฮอล์เช็ดภายในรองเท้า สำหรับรองเท้าที่ซักล้างได้สามารถทำความสะอาดด้วยผงซักฟอก และน้ำร้อนได้ หากทำความสะอาดแล้วยังไม่หายเหม็น โยนรองเท้าคู่นั้นทิ้งซะ

ทะนุถนอมเท้าของคุณ

           ล้างเท้าด้วยทีทรีออยล์ หรือน้ำมันสะระแหน่ ช่วยระงับกลิ่นเท้าได้ เพราะมีสรรพคุณในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย แต่พึงระวังหากคุณมีผิวแพ้ง่าย อย่าใช้น้ำมันสะระแหน่ หากคุณกำลังตั้งครรภ์

           แช่เท้าในชาดำ (ชา 2 ถุงแช่ในน้ำ 8 ถ้วย) กรดแทนนิกในชาช่วยระงับกลิ่นได้ ขณะเดียวกันชายังมีสรรพคุณเป็นยาสมานแผลด้วย

           ใช้สเปรย์ระงับกลิ่นเท้าฉีดพ่นบริเวณฝ่าเท้าก่อนสวมรองเท้าทุกครั้ง เพื่อกดดันแบคทีเรียที่ออกมากับเหงื่อให้ทำงานไม่สะดวก

           ใช้ยาดับกลิ่น ถ้าเท้ามีกลิ่นแรง อาจใช้ยาดับกลิ่นที่มีสารอลูมิเนียม เช่น aluminium chlorohydrate ทาเท้า แล้วสวมถุงเท้าก่อนนอน

คุณหมอช่วยด้วย

          แพทย์จะจ่ายยาที่ทำให้เท้าแห้งหรือยาปฏิชีวนะเฉพาะที่ เพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรีย การรักษาวิธีอื่น ๆ เช่น การทำไอออนโตโฟเรวิส โดยให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านน้ำขณะที่เท้าแช่น้ำ เพื่อลดเหงื่อที่ออกมากให้เป็นปกติ โบท็อกซ์ที่ใช้รักษาเหงื่อออกมากขึ้นรักแร้ ก็สามารถนำมาใช้รักษาโรคเท้าเหม็นได้ด้วย โดยการฉีดโบท็อกซ์เข้าไปที่ฝ่าเท้าเพื่อลดเหงื่อที่ออกมาก ๆ ประมาณ 6-12 เดือนก็จะเห็นผล แต่พึงระวังฝ่าเท้า และผิวหนังที่เท้าเป็นจุดที่อ่อนไหว จึงอาจทำให้เกิดอาการแพ้ได้

เกร็ดความรู้

          เหงื่อที่ออกถึงสัปดาห์ละมากกว่า 4 ลิตร ทำให้เท้าของคุณกลายเป็นสวรรค์ของแบคทีเรียที่ทำให้เกิดกลิ่นเหม็น