วันพุธที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2555


อิสเซ ซากาวะ
(ระหว่างหาข้อมูลบางที่ก็เรียกว่า อิซซากะ ซากาวะ Issei Sagawa) 
เกิดเมื่อ ๑๑ กรกฎาคม ๑๙๔๙ บิดาของเขาเป็นทหารที่เคยถูกกักตัวอยู่ที่รัสเซีย และต่อมาได้ประสบผลสำเร็จ
เป็นประธานการบริษัทอุตสาหกรรมเครื่องดื่มคูติระในกรุงโตเกียวและขยายสาขาไปทั่วโลก(รวมทั้งประเทศไทย) 
  
ว่ากันว่าตอนที่
 ซาคาว่า เกิดมานั้น แม่ของเขาคลอดก่อนกำหนดจนเกือบจะแท้ง และซากาวะก็ตัวเล็กมากจน
มีขนาดเพียงฝ่ามือข้างเดียวของพ่อ เมื่อโตขึ้นซากาวะมีรูปร่างเตี้ยมากสูงไม่เกิน ๕ ฟุต มือเท้ามีขนาดเล็ก เสียงพูดก็แหลมเหมือนผู้หญิง และมีท่าทาง
กระตุ้งกระติ้งออกไปทางผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย มีแนวโน้มอาจเป็นพวกลักเพศ แต่ถึงเขาเป็นอย่างนี้พ่อของเขาก็รัก ลูกสุดดวงใจเพราะเขาคือหนึ่งเดียวที่จะสานต่อกิจการของครอบครัว
  
ซากาวะ 
เป็นเด็กที่ฉลาด ระหว่างที่อิสเซทำการศึกษาที่   "สถาบัน เซนซิแยร์" ในมหานครกรุงปารีส ในปี ค.ศ. ๑๙๘๑ อิสเซได้ตกหลุมรักนักศึกษา

ชาวยุโรปคนหนึ่งชื่อ เรนี ฮาร์เทเวลท์ ที่นั่งถัดไปในห้องเรียน 
  
อิสเซ 
เริ่มแผนการด้วยการเขียนจดหมายสารภาพรักกับเธอ นัดเธอไปดูคอนเสิร์ตและนิทรรศการศิลปะต่างๆ แม้ว่าอิสเซจะ
ตัวเล็กและเดินกระตุ้งกระติ้งแบบผู้หญิง  แต่เรนีก็ไม่ได้รังเกียจที่จะไปไหนมาไหนด้วยกัน   จนบางครั้งเรนีก็ชวนอิสเซไปกิน
น้ำชาบ้านของตัวเอง บางครั้งก็เต้นรำด้วยกัน 


อิสเซ
 ตัดสินใจฆ่าเรนีเพราะอยากกินเธอ จึงได้ชวนเรนี มาวันเกิดครบรอบ ๓๒ ของเขา ที่โต๊ะตัวเตี้ย (โต๊ะโทคัทซึ) 
นั่งตามสไตล์ญี่ปุ่น ซากาวะ แอบปลื้มอยู่เงียบๆ  เพราะ  ในใจเขาอยากกินเรนีใจจะขาดแล้ว 
  
เมื่อเรนีมาถึงอิสเซได้ต้อนรับเธอด้วยธรรมเนียมญี่ปุ่นด้วยการให้ เรนีนั่งคุกเข่ากับพื้นชงชาให้ดื่มผสมเหล้าลงไปด้วย 
จากนั้นเขาได้สารภาพรักกับเรนีทันที ขณะที่เรนีกำลังตั้งใจเรนีดูท่าทางจะตกใจมาก เนื่องจากรับสถานการณ์ไม่ทัน หล่อน
จึงแกล่งตอบกลบเกลื่อนไปว่าเธอคบ อิสเซแค่เป็นเพื่อนเท่านั้น ไม่ใช่แบบชู้สาว 
  
อิสเซเงียบไปพักหนึ่งแล้วผงะจากเรนีเดินไปหยิบ กวีนิพนธ์ มาส่งให้เธอ แล้วเอื้อมมือไปกดปุ่มเครื่องบันทึกเสียงในขณะที่
เรนีอ่านกวีนิพนธ์ อิสเซฟังเรนีอ่านกวีนิพนธ์พอใจแล้วจากนั้นก็เดินไปข้างหลัง หยิบปืนเดินกลับมาจากนั้นก็จ่อยิงกลาง
หลังเรนีหนึ่งนัด
 เรนีสะดุ้งเฮือกหล่นลงจากเก้าอี้ลงกองอยู่บนพื้นเธอตายทันที อิสเซ พูดพล่ามกับเรนีเหมือนคนบ้า ต่อหน้าศพของเรนี 
  
อิสเซเริ่มเปลื้องผ้าออกจากศพของเรนี
 
พบว่ามันยุ่งยากพอสมควร แต่ช่างหัวมันเถอะ  เพราะจากนั้นเขาเอาปลายจมูกใส่
ปากเคี้ยวกินดิบๆ อย่างเอร็ดอร่อย 

อิสเซ ยังไม่หายหิว เขาเชือดโน่นเชือดนี้กับอวัยวะส่วนต่างๆ ที่เหลืออยู่ แม้แต่
    ทวารหนักเขาก็คว้านออกมาแล้วยัดใส่ปากเคี้ยว 
แต่กลิ่นมันสุดทนจนเขาต้องคายออกมา ชิ้นส่วนจากทวารหนักที่เหลือเขาต้องนำไปทอดแต่ก็รับไม่ได้เพราะมันเหม็นสุดๆ เขาจำเป็นต้องเททิ้งถังขยะแล้วแล่ส่วนอื่นๆ ไปกินต่อไป 

อิสเซ ง่วนอยู่กับการชำแหละศพของ เรนี ด้วยมีดปอกสายไฟอันคมกริบ มาชำแหละเป็นชิ้นๆ ส่วนหนึ่งเก็บสำรองไว้กิน 
  ส่วนหนึ่งก็ใส่ปากเคี้ยวดิบๆ โดยอาหารจานแรกที่อิสเซทำคือ "เนื้อคนผัดมัสตาร์ด"

เขาถ่ายรูปศพที่อันเป็นเศษเนื้อ
เธอไว้เป็นที่ระลึกก่อนที่จะเปลื้องเสื้อผ้า ร่วมรักกับศพ อย่างหื่นกระหาย เขาบรรยายฉากนี้อย่างละเอียดลออไว้ว่า 
  

  
"ระหว่างที่ข้าพเจ้าร่วมรักกับศพของเธอมันเหมือนกับว่าเธอหอบหายใจออกมา 
  
  ข้าพเจ้าเร่งจังหวะแล้วบอกกับเธอว่า ผมรักเธอที่สุดในโลก 
"
  

หลังจากนั้น2 วัน ซากาวะได้พยายามเอาศพที่ถูกตัดเป็นชิ้นๆ ใส่กระเป๋าเดินทาง ไปทิ้ง แต่ถูกพบเห็นโดยสามีภรรยาคู่นึง ต่อจากนั้นตำรวจก็ได้รับเบาะแส และถือหมายค้นเข้าห้องพักของนักศึกษาชาวญี่ปุ่นคนหนึ่ง ชื่อว่า "อิสเซ ซากาวะ"
    

  ที่ตรงนั้น...โต๊ะอาหาร ตำรวจต่างพากันพะอืดพะอมกับก้อนเนื้อเป็นกองๆ และเครื่องในที่ล้างๆออกมาไว้ใน
    
ชามกะละมังตั้งเรียงเป็นแถวเป็นแนวแล้วยังมีหม้อพะโล้ หม้อต้มเค็มวางไว้ข้างๆ
      
เมื่อตำรวจเอื้อมมือเขาไปเปิดตู้เย็น  ก็พบก้อนเนื้อที่ถูกชำแหละเตรียมไว้ อยู่เป็นจำนวนมาก

  ส่วนภายในกระเป๋านั้น ตำรวจก็ได้พบชิ้นส่วน ของเรนี ฮาร์เทเวลท์ ที่ถูกตัดเป็นชิ้นๆ 
  
  
  

วันพุธที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2555


ประวัติ
  
  มาการอง (Macaron) มีประวัติศาสตรยาวนานหลายร้อยปี และช่วง 5-6 ปีมานี้ ชาวปารีสและเหล่าฟู๊ดดี้ในประเทศโลกเจริญแล้ว ต่างคลั่งไคล้ใหลหลงคุกกี้ชิ้นเล็กๆ กลมๆ 2ชิ้นประกบกัน ตรงกลางมีไส้ หน้าตาเหมือนแฮมเบอร์เกอร์ รสหวาน สีสันสดใส และราคาสูงจนน่าตกใจ และวันนี้ร้านขนมในเมืองไทยหลายร้าน เริ่มผลิตมาการองออกวางขายกันไม่น้อย แม้ผู้บริโภคจะยังไม่ต่อคิวรอซื้อมากินกันเป็นล่ำเป็นสันก็ตาม เป็นขนมที่มีต้นกำเนิดมาจากประเทศฝรั่งเศส

ในยุคข้าวยากหมากแพง ช่วงFrenchrevolutionที่มีการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง ช่วงนั้นมิชชันนารีชาวอิตาลี ที่อาศัยในฝรั่งเศสหาวิธีทำดำรงชีพจากAlmond น้ำตาล และไข่ขาว ซึ่งเป็นของราคาไม่แพง แต่มีคุณค่าทางอาหาร จึงริเริ่มนำสามอย่างนี้มาตีรวมกันและอบในเตาอบ ออกมาเป็นขนมรูปร่างคล้ายจานบิน ด้านนอกกรอบนิดๆ กัดเข้าไปด้านใน ทุกอณูนิ่มละลายในปากทันที ด้วยรสชาติที่หอมหวานลงตัว และวัตถุดิบที่หาง่ายในยุคนั้น ราคาไม่แพง มาการองจึงได้รับความนิยมแพร่หลาย

จนกระทั่งต่อมา มีผู้นำมาการองสองอันมาประกบกันแล้วทำไส้อยู่ตรงกลางซึ่่งเป็นรูปแบขนมmacaronที่รับประทานมาจนทุกวันนี้
มาการองยุคใหม่ ถูกปฏิวัติให้เจ๋งยิ่งขึ้นโดยพ่อมดของหวานชาวฝรั่งเศส Piere Herme' ซึ่งนำผลไม้จากทุกมุมโลกมาสร้างสรรค์มาการองรสชาติต่างๆ จนกระทั่งกลายเป็นขนมที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก ปัจจุบันขนมชนิดนี้เป็นทั้งของหวานแสนอร่อย เป็นทั้งแฟชั่น ที่เชฟเทพๆทั้งหลายแข่งกันครีเอตหน้าตา และรสชาติออกมาอย่างสวยงาม

Macaron  1212986011

  โดยตัวขนมมาการอง มีความงาม”ภายนอก”และ”ภายใน”เริ่มจากภายนอก ผิวเนียนและเงางามเหมือนเปลือกไข่ ไม่มีรอบแตกหรือร้าว ถ้าเจอแบบผิวตะปุ่มตะป่ำเหมือนหนังคางคกนี้ไม่ได้เลยน่ะ เพราะแสดงถึงถึงความไม่เอาใจใส่ในการบดและร่อนแป้งแอลมอนด์ หรือร้านไหนที่ขายมาการงที่มียอดแหลมเป็นจุก จากการบีบที่ชี้ให้เห็นว่าผสมแป้งแบบใจเสาะ ไม่ได้ที่ มองจากด้านข้างเข้าไปแล้ว ยอดค่อนข้างแบนไม่โค้งเป็นโดม มาถึงส่วนที่ติดกับครีม (ส่วนล่างสุดของคุ้กกี้ทั้ง 2 ชิ้นที่มาประกบกัน) เรียกว่า “เท้า” ของมาการอง ต้องเป็นเนื้อฟู ระบาย มีความสูงพอๆกัน แต่ไม่มากกว่าส่วนเนียน และไม่ควรจะแผ่ส่วนที่เนียนออกมามาก (อบไม่ได้อุณหภูมิที่พอเหมาะ) สุดท้ายคือ คุ้กกี้ต้องเป็นสีเดียวกันทั้งชิ้น ไม่มีลักษณะที่โดนความร้อนเลียจนซีด หรือไหม้

Macaron  macarons perfect

 มาการองส่วนใหญ่สอดไส้ช็อกโกแลตเพราะฉะนั้นเวลากินควรกินที่อุณหภูมิห้อง(ฝรั่ง)ประมาณ 20-25 องศา คือนำออกมาจากตู็เย็นมาตั้งไว้ประมาณ 30นาที ถึง 1 ชม. เมื่อกัดเข้าไปแล้ว สัมผัสได้ คือ ความกรุบเฉพาะผิวแต่เมื่อถึงเนื้อข้างในต้องให้ความรู้สึกที่นุ่มลักษณะ ละลายปาก ไม่ให้ความรู้สึกเหนียวหรือขัดขืนต่อต้านการเคี้ยว เนื้อจะต้องเต็ม ไม่มีโพรงอากาศอยู่ระหว่างเปลือกกับฐาน ถ้าร้านไหนขายมาการงที่แข็ง หรือเคี้ยวแล้วดังกร้วมๆ ให้หยุดกิน ส่วนรสชาติของไส้นั้นแล้วแต่คนชอบ เมื่อรับทราบถึงจุดนี้แล้ว ก็เข้าใจเลยว่าทำไม๊ ทำไม ราคาขายของมาการองถึงแพง ตอนนี้ถึงกับร้อง “อ๋อ” เลย ความใส่ใจในทุกขั้นตอนจริงๆ น่ายกย่องมากค่ะสำหรับขนมมาการอง