วันพฤหัสบดีที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2556

สาเหตุที่วันฮาโลวีน ตรงกับวันที่ 31 ตุลาคม ของทุกปีนั้น เชื่อกันว่า เป็นวันที่ชาวเคลต์ (Celt) ซึ่งเป็นชนเผ่าพื้นเมืองเผ่าหนึ่งในไอซ์แลนด์ ถือกันว่าเป็นวันสิ้นสุดปี โดยถือกันว่าเป็นวันที่มิติคนตายและ มนุษย์จะถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกันและ วิญญาณผู้เสียชีวิตในปีที่ผ่านมาจะเที่ยวหาร่างของคนเพื่อสิงสู่ เพื่อที่จะได้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง จึงทำให้คนเป็นอย่างเรา ในวันฮาโลวีนจะต้องหหาทางแก้ไขด้วยการปิดไฟในบ้านทุกดวง ให้บ้านมืดมิด ร่วมกับอากาศที่หนาวซึ่งไม่เป็นที่ปรารถนาของบรรดาผีร้าย อีกทั้งยังมีบางส่วนจะแต่งตัวเป็นผีต่างๆ เพื่อกลบเกลือนวิญญาณว่าไม่ใช่คนเป็นนั้นเอง
Trick or treater
Trick or Treater in Halloween Day
กิจกรรมในวันฮาโลวีน
ในวันฮาโลวีน ที่นิยมจัดกันในประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศต่างๆ ในทวีปยุโรป ที่มีการจัดกิจกรรมต่างๆ อย่างสนุกสนาน โดยเฉพาะกลุ่ม เด็กๆ ที่จะแต่งกายเป็นภูตผี ปีศาจ ในรูปแบบต่างๆ และพากันออกไปร่วมงานฉลองวันฮาโลวีน โดยจะเรียกการเล่นนี้ว่า Trick of Treat (หลอกหรือเลี้ยง) ซึ่งเด็กๆ ที่แต่งตัวเป็นภูติผีปีศาจนั้นๆ จะเดินไปเคาะประตูตามบ้านต่างๆ เพื่อขอขนมที่นิยมจะเป็นลูกกวาด นั้นเองและอีกหนึ่งกิจกรรมในวันฮาโลวีน นอกจากเคาะประตูขอขนมตามบ้านต่าง ๆ แล้ว ยังมีการนำ แอปเปิล กับเหรียญชนิดหกเพ็นซ์ใส่ลงในอ่างน้ำ หากใครสามารถแยกแยะของสองอย่างนี้ ออกจากกันได้ด้วยการใช้ปากคาบเหรียญขึ้นมา และใช้ส้อมจิ้มแอปเปิลให้ติดเพียงครั้งเดียวถือว่าผู้นั้นจะโชคดีตลอดปีใหม่ ที่กำลังมาถึง
ตะเกียงฟักทอง
ประวัติ แจ็ก-โอ’-แลนเทิร์น (Jack-o’-lantern)
ตะเกียงฟักทอง,  โคมไฟฟักทอง หรือ แจ็ก-โอ’-แลนเทิร์น (Jack-o’-lantern) เป็นอุปกรณ์ประดับตกแต่งสถานที่ซึ่งนิยมใช้ใน เทศกาลฮาโลวีน มีลักษณะเป็นผลฟักทองสีส้ม แกะสลักเป็นรูปหน้าคนในกริยาต่างๆ โดยมากมักเป็นกริยาแสดงอาการข่มขวัญ หรือโอดครวญ ทั้งนี้ การใช้ตะเกียงฟักทอง เป็นการระลึกถึง แจ็ก (jack) ชายชาวนาในตำนานที่หาญกล้าต่อกรกับซาตาน


ตำนานของแจ็ก (jack)
เรื่องของแจ็กมีการเล่าในตำนานหลายรูปแบบ เป็นเรื่องเล่าโบราณเรื่องหนึ่ง ซึ่งกล่าวถึงที่มาของชายชาวนาจอมเจ้าเล่ห์ ชื่อว่า “แจ็ก” ผู้ที่ต่อสู้กับซาตาน อย่างไม่เกรงกลัว โดยใช้อุบายหลอกล่อ ซาตานติดกับดัก หนีไปไหนไม่ได้ ซึ่งแจ็กไม่ยอมปล่อยซาตานจนกว่ามันจะรับปากว่า เมื่อเขาตายแล้วจะไม่นำวิญญาณเขาลงนรกเด็ดขาด ซาตานไม่มีทางเลือกจึงต้องรับปาก เมื่อแจ็กเสียชีวิตลงด้วยความเป็นคนชั่วเขาจึงไม่ได้ไปสวรรค์ วิญญาณของเขาล่องลอยไปยังปากทางนรก และพบกับซาตานคู่อริเก่าอีกครั้ง ตามสัญญาที่ให้ไว้ ซาตานปล่อยวิญญาณของแจ็กไป พร้อมแสงไฟส่องนำทางให้กับวิญญาณแจ็กที่ต้องเร่ร่อน ไม่มีที่ไปอย่างนั้นตลอดกาล ทุกคืน ฮาโลวีน วิญญาณของแจ็กจะระหกระเหินไปในความมืด พร้อมแสงไฟส่องที่ครอบด้วยหัวผักกาด ต่อมาเมื่อตำนานนี้เข้ามาในอเมริกา ก็มีการเปลี่ยนมาใช้ผลฟักทองแทนจนทุกวันนี้

วันอาทิตย์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2556

   โลกในการทำงานกับชีวิตวัยเรียนนั้นต่างกันอย่างมาก ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยนั้นเป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความสนุกและประสบการณ์ ต่าง ๆ ซึ่งน้องๆ จะได้รู้จักกับคนใหม่ ๆ และเรียนรู้ที่จะเอาตัวรอดเพื่อก้าวผ่านปัญหาต่าง ๆ ที่เข้ามาในชีวิต แต่หลังจากจบการศึกษาไปแล้วนั้น น้อง ๆ จำต้องตระหนักว่ายังมีสังคมที่กว้างกว่า และเต็มไปด้วยสิ่งแปลกใหม่ รวมถึงความไม่มั่นคงในโลกแห่งความจริงรออยู่ และนี่ก็คือแนวทางสำหรับบัณฑิตที่เพิ่งจะก้าวออกจากรั้วการศึกษามารับมือกับ โลกใบใหม่ที่กำลังจะมาถึง ซึ่งเว็บไซต์อีลิทเดลี่ ได้ให้คำแนะนำถึง 10 สิ่งที่บัณฑิตจบใหม่พึงระลึกไว้ในตอนที่จบจากมหาวิทยาลัย ดังนี้
1. ชีวิตไม่มีหลักสูตรตายตัว
           เราไม่จำเป็นต้องเรียนรู้การใช้ชีวิตจากตำราเล่มไหนเพราะไม่มีหลักสูตรใด ๆ ที่จะนำทางชีวิตเราได้ ในทางกลับกัน ประสบการณ์ในชีวิตต่างหากที่จะกลายเป็นบทเรียนที่ทรงคุณค่าที่สุด ที่เราจะต้องเรียนรู้ สิ่งที่สำคัญคือ หากเราผิดพลาด เราต้องให้ความผิดพลาดเหล่านั้นเป็นเหมือนครู  และอย่าผิดพลาดซ้ำอีก
2. ครอบครัวคือสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าอะไรทั้งปวง
            ในช่วงเวลาที่ยากลำบากจนคิดที่จะลาออกจากงานนั้น จำไว้ว่าเราไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว ในตอนที่เจอกับทางต้น ครอบครัวจะเป็นผู้คอยสนับสนุนอยู่เสมอ เพราะฉะนั้นจงรักษาสัมพันธภาพในครอบครัวไว้ให้ดี รู้ไว้เถอะนะว่าคุณสามารถวางใจพวกเขาได้เสมอ
3. เวลาคือสินค้าที่มีค่ามากที่สุด
           เวลาคือสิ่งที่เราต้องการมากที่สุด แต่เรากลับใช้มันอย่างสูญเปล่าที่สุดเช่นกัน อย่าลืมว่าในขณะที่เรากำลังหลับอยู่ อาจจะมีใครบางคนที่ทำเงินได้จากโอกาสที่เราปล่อยทิ้งไปเฉย ๆ แต่ทั้งนี้ก็ต้องไม่ลืมเช่นกันว่า ควรจะมีเวลาพักผ่อนและฟื้นฟูร่างกายอย่างเพียงพอ เพื่อให้ร่างกายพร้อมที่จะก้าวไปสู่ความสำเร็จต่อไป
4. ไม่มีคำว่าผ่านไป หรือล้มเหลวในชีวิต
           ในโลกธุรกิจนั้น เราไม่มีทางที่จะก้าวเดินไปข้างหน้าได้โดยทิ้งงานที่ได้รับมอบหมายไว้เบื้อง หลัง เหมือนเช่นเมื่อไหร่ก็ตามที่ลาออกจากงาน ก็จะไม่มีโอกาสที่ 2 กลับมาเริ่มใหม่ได้อีก
           นอกจากนี้ ในโลกของการทำงาน การจะทำงานให้เสร็จทันตามกำหนดอาจจะเป็นสิ่งที่ช้าจนเกินไป เพราะฉะนั้นต้องทำให้แน่ใจว่า งานจะเสร็จสมบูรณ์พร้อมก่อนที่เจ้านายของคุณจะทวงงานชิ้นนั้นจากคุณ
5. ก้าวออกจากพื้นที่ส่วนตัวแสนสบาย สู่ชีวิตที่สับสนวุ่นวายในเมืองใหญ่
           โอกาสในการทำงานส่วนมากมักจะอยู่ในเมืองใหญ่ ซึ่งคงไม่มีอะไรที่จะน่ากลัวไปมากกว่าการต้องจากบ้านเข้ามาอาศัยอยู่ในเมือง ใหญ่ตามลำพังอีกแล้ว แต่ในบางครั้งการกลับไปอยู่ในอ้อมอกของพ่อแม่อาจจะไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีเสมอ ไป เพราะฉะนั้นเราควรจะก้าวออกมากจากพื้นที่แสนสบาย เพื่อมาเผชิญกับโอกาสที่ดีกว่าในเมืองซะครั้ง
6. อย่าเดินตามทางที่คนอื่นเลือกให้ แต่ให้พยายามสร้างเส้นทางของตัวเอง
           ไม่มีข้อยืนยันใด ๆ ที่บอกว่าเส้นทางในสังคมนั้นจะสร้างมาเพื่อเรา ทั้งที่การเดินบนเส้นทางเหล่านั้นเป็นสิ่งที่น่าเบื่อเหลือเกิน เพราะฉะนั้นจงเป็นตัวของตัวเองและใช้ชีวิตอย่างที่เราต้องการเถอะ
7. ไปให้สูงที่สุดเท่าที่ตัวเองต้องการ แต่อย่าสร้างปัญหากับใครทั้งนั้น
           ไม่ว่าใครต่างก็มีความชั่วร้ายอย่ในตัว แต่พวกเขาจะไม่เปิดเผยให้ใครได้รู้หรอก เพราะฉะนั้น เก็บตัวตนที่ชั่วร้ายของคุณไว้ และอย่าให้ปัญหาของคุณมาส่งผลกระทบต่อคนอื่นที่อยู่รอบตัว
8. เรียนรู้จากเจ้านาย แต่อย่ากลายเป็นแบบเขา
           จงเรียนรู้จากเจ้านายเหมือนอย่างที่เรียนรู้จากอาจารย์ แต่อย่ากลายเป็นแบบเขา ในทางกลับกัน ลองแสวงหาความรู้จากแหล่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เรารักไปพร้อม ๆ กัน นั่นจะทำให้เรารู้สึกดีมากกว่าหากได้ประสบความสำเร็จในสิ่งที่รักจะทำ
9. เพื่อนร่วมงานไม่ใช่เพื่อนของคุณ
           เราจะต้องลืมความผูกพันทางใจไปให้หมด เพราะอาจไม่มีใครที่จะสนใจถึงมิตรภาพที่มอบให้ก็ได้ มองว่าความสัมพันธ์นั้นมีค่า ควรขีดเส้นกั้นตัวเองและดูให้แน่ใจว่าความสัมพันธ์อันมีค่าสำหรับคนคู่ควร ได้รับเท่านั้น
10. ทำงานให้เสร็จแม้ว่าจะต้องจ่ายเท่าไหร่ก็ตาม
           ในโลกของความเป็นจริง เป็นเรื่องยากที่จะให้อภัยหากเราทำงานที่เจ้านายสั่งไม่เสร็จ ดังนั้นจงจัดการการทำงานให้ดี หรือหาคนมาช่วยก็ได้หากจำเป็นจริง ๆ

วันอังคารที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2556

แครอทต้านโรค

แครอท เกิดในแถบเอเชียตะวันออก และเอเชียกลาง ออกดอกราวเดือนพฤษภาคม ถึงตุลาคม ดอกแตกเป็นชั้นคล้ายร่ม ชั้นนอกสีชมพู ตรงกลางสีม่วงแดง แครอทสมัยโบราณมีเนื้อแข็ง เสี้ยนเยอะเหมือนไม้ สีของหัวแครอทมีตั้งแต่สีเหลืองไปจนถึงสีม่วง แต่แครอทสีส้มที่รับประทานกันทั่วไป เป็นแครอทที่ได้รับการพัฒนาสายพันธุ์เมื่อศตวรรษที่ 18 นี้เอง ในทางยาพบว่าแครอทเป็นสมุนไพรพื้นบ้านของชาวอเมริกัน ใช้เป็นยาครอบจักรวาล รักษาได้หลายโรค เช่น แก้โรคประสาท โรคผิวหนัง และหืดหอบ


                                                                          


ในปี พ.ศ. 2510 สถาบันมะเร็งแห่งชาติ สหรัฐอเมริกา ได้พบว่าวิตามินเอที่ได้จากสัตว์ สามารถระงับมะเร็งในทางเดินหายใจ ในหนูทดลองได้ แต่ยังไม่มีใครสนใจว่าวิตามินเอที่ได้จากพืช หรือสัตว์จะให้ผลดีกว่ากัน ซึ่งข้อมูลขณะนั้นได้บ่งชี้อย่างชัดเจนว่า คนได้รับวิตามินเอจากผักสีเขียว และพืชสีส้มเป็นหลัก วิตามินเอที่ได้รับจากพืชคือ สารเบต้าแคโรทีน ซึ่งจะถูกเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ เมื่อเข้าไปอยู่ในร่างกายมนุษย์
ปี พ.ศ. 2524 ริชาร์ด ปีโต และคณะ ได้เขียนบทความลงในนิตยสาร Nature ว่า “จริงๆ แล้ว วิตามินเอไม่ได้ส่งผลให้เกิดการยับยั้งมะเร็ง แต่เป็นสารเบต้าแคโรทีน” จากการทดลองของ ดร. ริชาร์ด เชเคลล์ นักระบาดวิทยา มหาวิทยาลัยเท็กซัส ก็สนับสนุนความน่าเชื่อถือของข้อมูลนี้ มีการทดลองอีกมากมายเกิดขึ้น
แต่ข้อสรุปรวมจากการศึกษาทั้งหมดก็คือ “อาหารที่มีเบต้า แคโรทีน สามารถลดอุบัติการโรคมะเร็งในปอดได้ แม้แต่ในผู้ที่สูบบุหรี่หลายปีแล้วก็ตาม” นอกจากนี้ยังพบว่า คนที่ทานพืชผักที่มีแคโรทีนน้อยที่สุด จะเสี่ยงต่อมะเร็งในปอด เป็นเจ็ดเท่าของคนที่ทานมากที่สุดในกลุ่ม เบต้าแคโรทีนสามารถป้องกัน และยับยั้งมะเร็งในระยะต่าง ๆ ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากให้กินเบต้าแคโรทีนขนาดสูง พร้อมกับฉายรังสี
ท่านที่เคยเขี่ยแครอทชิ้นน้อยทิ้งจากจานสเต็ค คงทราบแล้วว่า แครอทมีคุณประโยชน์มหาศาล นี่ยังไม่รวมถึงประโยชน์เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่จะช่วยให้ท่านดูสดชื่น บำรุงผิวพรรณ และช่วยในการขับถ่าย พืชผักทุกชนิดมีคุณสมบัติดีต่อร่างกายเหมือนกันหมด หากท่านอยากมีสุขภาพดี ก็ไม่ควรเขี่ยผักเหล่านี้ทิ้งแม้สักชิ้นเดียว
                                  เมนูจากแครอท


                        ตาใส ผิวสวย ด้วยซุปแครอท

                                         ซุปแครอท    


                                         
                                                                         เบคอนโรล


                                          
                                                             น้ำแครอท  

         
                                       
                                                                        เค้กแครอท


                                      แครอทลูกชิ้น (1)
                                      ลูกชิ้นแครอท

 

วันพฤหัสบดีที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2556


1. เกาะ Bled, ประเทศสโลวีเนีย
          ทะเลสาบเบลดบริเวณภูเขาจูเลียนทางตอนเหนือของประเทศสโลวีเนียนั้น อยู่ติดกับหมู่บ้านเบลดตามชื่อของมัน ซึ่งมันเป็นเกาะตามธรรมชาติเพียงเกาะเดียวกลางแม่น้ำเท่านั้น บนเกาะนี้มีสิ่งปลูกสร้างรวมอยู่ด้วยกันมากมาย แต่สิ่งที่โดดเด่นเป็นสง่าที่สุดคงจะหนีไม้พ้น โบสถ์ที่สร้างขึ้นเพื่ออุทิศแด่การขึ้นไปจุติบนสวรรค์ของพระแม่มารีในช่วง ศตวรรษที่ 17 ซึ่งความสวยงามจากศิลปะแนวบารอกของที่นี่ ทำให้มันกลายเป็นสถานที่จัดงานแต่งงานยอดนิยมเลยทีเดียว
2. เกาะ Pfalz, ประเทศเยอรมนี

          เกาะบริเวณแม่น้ำไรห์นนี้อยู่ระหว่างเมืองไมนซ์และเมืองโคเบลนซ์ และจากการที่หุบเขาซึ่งรายล้อมแม่น้ำแห่งนี้อยู่ค่อนข้างชัน ทำให้การเดินทางส่วนใหญ่เกิดขึ้นผ่านแม่น้ำสายนี้แทน ยิ่งไปกว่านั้น สืบเนื่องจากการที่น้ำขึ้นค่อนข้างสูง ทำให้ปัจจุบันตัวเกาะจมหายไปกว่า 50% แล้ว เหลือไว้เพียงซากต้นไวน์และสิ่งก่อสร้างทรงหกเหลี่ยมเท่านั้น ซึ่งแม้ว่ามันจะยังคงงดงามควรค่าแก่การเยี่ยมชม แต่ไม่รู้ว่าต่อไปในอนาคตเกาะนี้จะจมลงไปอีกจนสูญหายไปเลยหรือเปล่า
3. เกาะ Visovac, ประเทศโครเอเชีย

          หนึ่งในเหตุผลที่เราควรไปชมเกาะนี้ด้วยตาตัวเองสักครั้ง ก็เพื่อชื่นชมอารามเก่าแก่บนเกาะนั่นเอง โดยย้อนกลับไปเมื่อปี 1576 คณะฟรันซิสได้สร้างอารามขึ้นที่นี่ ส่วนปัจจุบันอารามนี้ได้ถูกจัดแสดงให้เข้าชมเป็นพิพิธภัณฑ์เป็นที่เรียบร้อย ในขณะที่พื้นที่ภายนอกถูกจัดเป็นสวนสวยงามให้คนได้เพลิดเพลินกับธรรมชาติ อย่างเต็มที่ ซึ่งต้นไซปรัสที่ล้อมรอบนั้น ดูเหมือนกับรั้วอันแข็งแกร่งที่คอยปกป้องอารามแห่งนี้เอาไว้เลยทีเดียว
4. เกาะ Heart, สหรัฐอเมริกา

          ด้วยรูปทรงหัวใจน่ารักสมชื่อ ทำให้เกาะบริเวณเมืองอเล็กซานเดรียนี้ดูเหมือนเกาะในจินตนาการอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อรวมเข้ากับสถาปัตยกรรมอันสวยงามคลาสสิก ยิ่งทำให้มันดูเหมือนความฝันยิ่งขึ้นอีก ซึ่งสิ่งที่โดดเด่นที่สุดจนเป็นตัวเชื้อเชิญนักท่องเที่ยวให้แวะมาก็คือ Power House ตัวสร้างพลังงานบนเกาะ และ Alster Tower นั่นเอง
ภาพจาก Steinhuder-Meer
5. เกาะ Wilhelmstein, ประเทศเยอรมนี

          หากเทียบกับเกาะอื่น ๆ ที่ผ่านมา เกาะ Wilhelmstein เรียกได้ว่าเป็นเกาะที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง โดยมันเป็นเกาะที่ถูกสร้างขึ้นด้วยฝีมือมนุษย์ ด้วยการต่อเติมฐานหินทำให้มีรูปร่างเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าแปลกตา ผิดกับเกาะที่เกิดจากธรรมชาติทั่วไป โดยดยุควิลเฮล์มแห่ง Schaumburg-Lippe สร้างมันขึ้นเพื่อเป็นป้อมปราการปกป้องอาณาจักรเล็ก ๆ ของตัวเอง และได้ใช้ประโยชน์จริงเมื่อปี 1787 ตอนที่ดยุคแห่ง Hessen-Kassel เข้าล้อมโจมตีแต่พ่ายแพ้กลับไป
6. เกาะ Mont Saint-Michel, ประเทศฝรั่งเศส

          ทุก ๆ ปีที่เกาะแห่งนี้จะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยมเยียนเฉลี่ยปีละ 3 ล้านคน และความงามของมันก็ถึงขนาดถูกองค์กร UNESCO ยกย่องให้เป็นหนึ่งในมรดกโลกมาแล้ว โดยเกาะแห่งนี้เป็นที่อยู่อาศัยของคนกว่า 40 คน และเป็นเขตปกครองของแถบนอร์มังดี ในขณะที่สิ่งก่อสร้างที่โดดเด่นที่สุดบนเกาะแห่งนี้ก็คืออารามที่ถูกสร้าง ขึ้นมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 8 นั่นเอง
7. เกาะ Trakai Island Castle, ประเทศลิทัวเนีย

          "Little Marienburg" คืออีกชื่อที่คนใช้เรียกปราสาทบนเกาะแห่งนี้ ซึ่งปราสาทที่ดูเหมือนหลุดมาจากนิทานนี้ถูกสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 14 ก่อนจะเสร็จสมบูรณ์ในปี 1409 และปัจจุบันงานคอนเสิร์ต รวมทั้งงานสังสรรค์ที่ยิ่งใหญ่ทั้งหลายก็เลือกจะมาจัดในสถานที่แห่งนี้ เพื่อให้มีบรรยากาศย้อนยุคเหมือนอยู่ในโลกเทพนิยาย นอกจากนี้ มันยังเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ให้เข้าชมกันได้อีกด้วย โดยมีนักท่องเที่ยวเฉลี่ย 300,000 คนต่อปี
8. เกาะ Loreto, ประเทศอิตาลี

          ทะเลสาบ Iseo หรือ Sebino คือทะเลสาบที่กว้างใหญ่เป็นอันดับ 4 ของเมือง Lombardy และบนทะเลสาบแห่งนี้ก็มีเกาะอยู่มากมาย ซึ่งเกาะ Loreto ก็คือเกาะที่มีขนาดเล็กที่สุดในบรรดาเกาะเหล่านั้น แต่ถ้าหากพูดถึงความสวยงามแล้วล่ะก็ รับรองว่าที่นี่ไม่ด้อยกว่าที่ไหนแน่นอน เพราะมันมีปราสาทแนวกอธิคที่สร้างขึ้นเมื่อปี 1400 ตั้งอยู่ด้วย ทำให้มองเห็นเป็นทิวทัศน์ที่งดงาม
ภาพจาก linternaute
9. เกาะ Dark, สหรัฐอเมริกา

          เดิมทีปราสาทที่ตั้งอยู่บนเกาะบริเวณเส้นทางทะเล St. Lawrence นี้ มีชื่อว่าปราสาท Dark Castle ตามชื่อเกาะ แต่ได้เปลี่ยนมาเป็น Singer Castle เป็นที่เรียบร้อยในปัจจุบัน แถมยังมีข่าวว่ามันเคยเป็นที่ใช้ลักลอบขนส่งเหล้ารัมมาก่อนอีกด้วย อย่างไรก็ดี ทุกวันนี้นอกจากจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันสวยงามแล้ว มันยังเป็นแหล่งตกปลาจำพวกปลาแบสปากใหญ่และปลาไพค์เช่นกัน
10. เกาะ Pontikonisi, ประเทศกรีซ

          แม้ว่าอาราม Pantokrator เก่าแก่นี้จะไม่ได้ดูอลังการแบบปราสาทในเทพนิยายเหมือนที่อื่น ๆ ที่ผ่านมา แต่ด้วยสถาปัตยกรรมสไตล์ไซดลาดิกอันโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ ก็ช่วยให้อารามสีขาวนี้ดูงดงามไม่แพ้ที่ไหน ๆ ได้ไม่ยาก จนเป็นตัวดึงดูดนักท่องเที่ยวให้แห่แหนมาเยี่ยมเยียนอยู่เสมอ นอกจากนี้ เกาะที่เล็กจนได้รับฉายาว่า Mouse Island แห่งนี้ยังเป็นแหล่งธรรมชาติอันสมบูรณ์ที่มีทั้งปลาและนกอาศัยอยู่มากมายอีก ด้วย