วันพุธที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

สหประชาชาติ (อังกฤษUnited Nations; ตัวย่อ: UN) หรือ องค์การสหประชาชาติ (ตัวย่อ: UNO) เป็นองค์การระหว่างประเทศซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อก่อให้เกิดร่วมมือกันของกฎหมายระหว่างประเทศ ความมั่นคงระหว่างประเทศ การพัฒนาเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงทางสังคม สิทธิมนุษยชน และการบรรลุสันติภาพโลก สหประชาชาติถูกก่อตั้งขึ้นภายหลังสงครามโลกครั้งที่สองยุติลงในปี พ.ศ. 2488 เพื่อแทนที่สันนิบาตชาติ ในการยับยั้งสงครามระหว่างประเทศ และเพื่อเป็นเวทีสำหรับการเจรจาเพื่อยุติข้อพิพาท สหประชาชาติมีองค์การย่อย ๆ จำนวนมากเพื่อดำเนินการตามภารกิจ
สหประชาชาติมีสมาชิกทั้งหมด 193 ประเทศ ครอบคลุมรัฐอธิปไตยเกือบทุกรัฐบนโลก มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในนครนิวยอร์ก ระบบสหประชาชาติอยู่บนพื้นฐานของ 5 องค์กรหลัก ได้แก่: สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ คณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติ สำนักงานเลขาธิการแห่งสหประชาชาติ และศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ นอกจากนี้ยังมีองค์กรอื่น ๆ อีกเช่นองค์การอนามัยโลก ยูเนสโก และยูนิเซฟ เจ้าหน้าที่ระดับสูงที่มักเป็นที่รู้จักและปรากฏตัวต่อสาธารณชน คือ เลขาธิกสหประชาชาติมีธง ที่ทำการไปรษณีย์ และดวงตราไปรษณียากรของตนเอง ภาษาทางการที่ใช้มีอยู่ 6 ภาษา คือ ภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส ภาษาสเปน ภาษารัสเซีย ภาษาจีน และภาษาอาหรับ โดยที่ภาษาอาหรับได้ถูกเพิ่มเข้ามาหลังสุด เมื่อปี ค.ศ. 1973 ส่วนสำนักงานเลขาธิการนั้นใช้ 2 ภาษา คือ ภาษาอังกฤษ และภาษาฝรั่งเศส ภาษาอังกฤษที่กำหนดให้เป็นมาตรฐาน คือ อังกฤษบริติช และการสะกดแบบออกซ์ฟอร์ด ส่วนภาษาจีนมาตรฐาน คือ อักษรจีนตัวย่อ ซึ่งเปลี่ยนมาจาก อักษรจีนตัวเต็ม ในปี ค.ศ. 1971 เมื่อสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นสมาชิกสหประชาชาติแทนสาธารณรัฐจีนารสหประชาชาติ ปัจจุบันผู้ดำรงตำแหน่งนี้ คือ นายบัน คี มุน ชาวเกาหลีใต้ เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 2007 ต่อจากโคฟี อันนัน

วันอังคารที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554


อากาศบ้านเราเริ่มหนาวแล้ว สถานที่ต่างๆ เริ่มมีบรรดานักท่องเที่ยว ทยอยขึ้นดอยสัมผัสความหนาว ทะเลหมอก น้ำค้าง และสายลมกันบ้างแล้ว ชีวิตคนเมืองอย่างเราไม่ค่อยได้สัมผัสอากาศหนาวเท่าไรนัก (นอกจากความหนาวจาก แอร์คอนดิชั่น) แต่ถ้าเป็นต่างจังหวัด ก็พอจะมีโอกาสได้รับรู้ถึงความหนาวกันบ้าง ยิ่งบนยอดดอยไม่ต้องพูดถึง บางแห่งหนาวเกือบตลอดทั้งปี
สำหรับวันนี้ เรามีสถานที่ ที่น่าสนใจ 10 แห่ง ที่มักจะมีนักท่องเที่ยวขึ้นมาสัมผัสความหนาวให้ได้รู้จักกัน ซึ่งแน่นอนว่าส่วนใหญ่อยู่ในเขตเทือกเขาทางภาคเหนือ ลองมาดูกันซิคะว่าเราเคยไปเที่ยวกันครบทั้งสิบแห่งหรือยัง
 
1. อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ 
ชื่อนี้มักจะเป็นติดอันดับต้นๆ ของการท่องเที่ยว เดิมชื่อว่า ดอยหลวง หรือ ดอยอ่างกา ดอยหลวง หมายถึงภูเขาที่มีขนาดใหญ่ ส่วนที่เรียกว่า ดอยอ่างกานั้น เพราะมีหนองน้ำอยู่แห่งหนึ่งลักษณะเหมือน อ่างน้ำ มีฝูงกาไปเล่นน้ำกันมากมาย จึงเรียกว่า อ่างกา หรือ ดอยอ่างกา
ดอยอินทนนท์ เป็นยอดดอยที่สูงที่สุดในประเทศไทย (2,599 เมตร) จึงทำให้มีสภาพอากาศหนาวเย็นตลอดปี สถานที่น่าสนใจในอุทยานฯ มี น้ำตกแม่ยะ น้ำตกแม่กลาง น้ำตกวชิรธาร น้ำตกสิริภูมิ ถ้ำบริจินดา โครงการหลวงอินทนนท์ และ เส้นทางศึกษาธรรมชาติหลายจุด

น้ำตกแม่ยะน้ำสีโคลน 
2. ดอยอ่างขาง 
เป็นที่ตั้งสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง ภายในสถานีมีโครงการวิจัยผลไม้ ไม้ดอกเมืองหนาว งานสาธิตพืชไร่ แปลงทดลองปลูกไม้ผลเมืองหนาว สวนบอนไซ มีการจำหน่ายผลิตผลพืชผักเมืองหนาวที่ปลูก ในบริเวณโครงการฯ ให้แก่นักท่องเที่ยวตามฤดูกาล ในสถานีฯ มีที่พัก และมีสถานที่กางเต็นท์บริการแก่นักท่องเที่ยว สถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ
3. เขาค้อ – อุทยานแห่งชาติน้ำหนาว จ.เพชรบูรณ์ 
เป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงของจังหวัดเพชรบูรณ์ ที่ชื่อว่าเขาค้อเป็นเพราะ ป่าบริเวณนี้มีต้นค้อขึ้นอยู่มาก เนื่องจากภูมิอากาศบนเขาค้อเย็นตลอดปี ค่อนข้างเย็นจัดในฤดูหนาว และมีทัศนียภาพสวยงาม จึงเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมากที่สุดแห่งหนึ่ง ของเพชรบูรณ์ สถานที่น่าสนใจบนเขาค้อได้แก่ อนุสาวรีย์จีนฮ่อ ฐานอิทธิเจดีย์ พระบรมสารีริกธาตุเขาค้อ หอสมุดนานาชาติเขาค้อ พระตำหนักเขาค้อ น้ำตกศรีดิษฐ์ สวนสัตว์เปิดเขาค้อ และเนินมหัศจรรย์ หมู่บ้านคุ้มจุดชมวิวกิ่วลม หมู่บ้านนอแล และหมู่บ้านขอบด้ง หมู่บ้านหลวง
อุทยานแห่งชาติน้ำหนาว พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขาสูงสลับซับซ้อน เป็นแหล่งต้นน้ำที่สำคัญของแม่น้ำหลายสาย สถานที่น่าสนใจ ในเขตอุทยานฯ ได้แก่ ทุ่งหญ้ากงวัง ถ้ำผาหงษ์ สวนสนบ้านแปก สวนสนภูกุ่มข้าว น้ำตกซำผักคาว น้ำตกทรายแก้ว น้ำตกทรายเงิน น้ำตกเหวทราย น้ำตกทรายทอง ภูผาจิต หนองปลาไหล หนองน้ำขุ่น น้ำตกตาดพรานบา ผาล้อม ผากอง ถ้ำใหญ่น้ำ
4. อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง 
ด้วยสภาพอากาศที่เย็นสบายตลอดทั้งปี มีเทือกเขาและภูเขาสูง สลับซับซ้อน ครอบคลุมอำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ และอำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน ภูเขาที่สูงที่สุด คือ ดอยช้าง เป็นป่าต้นน้ำลำธาร มีลำห้วยน้อยใหญ่มากมาย ฤดูหนาวอากาศเย็น ลมแรง
5. ภูชี้ฟ้า-ผาตั้ง จ.เชียงราย 
ภูชี้ฟ้า เป็นจุดชมวิวทะเลหมอกและพระอาทิตย์ขึ้นอีกแห่งหนึ่ง มีลักษณะเป็นยอดเขาที่แหลมชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้า ยิ่งตอนที่พระอาทิตย์กำลังขึ้นมาตรงระหว่างปลายยอดเขา จะดูเหมือน เสือคาบแก้วมาก มีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,628 เมตร ส่วนของหน้าผาเป็นแนวยาวยื่นไปทางฝั่งประเทศลาว
ดอยผาตั้ง อยู่บนเทือกดอยผาหม่น เป็นจุดชมวิวสองฝั่งโขง ไทย-ลาว และทะเลหมอก บนดอยมีหมู่บ้านชาวจีนฮ่อ ม้ง และเย้า โดยเฉพาะ ชาวจีนฮ่อนั้น อดีตเคยเป็น ส่วนหนึ่งของกองพล 93 ซึ่งอพยพเข้ามา ตั้งถิ่นฐานอยู่ที่ดอยผาตั้งนี้ ปัจจุบันประกอบอาชีพทางการเกษตร ปลูกพืชเมืองหนาว เช่น บ๊วย ท้อ สาลี่ แอปเปิ้ล
6. อุทยานแห่งชาติภูกระดึง 
เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่ได้รับความนิยมมากแห่งหนึ่ง ของเมืองไทย เพราะมีสภาพธรรมชาติสมบูรณ์ประกอบด้วยระบบนิเวศและ ภูมิประเทศหลากหลาย ทั้งทุ่งหญ้า ป่าสนเขา ป่าดิบ น้ำตกและ หน้าผาชมทิวทัศน์ ลักษณะเด่นของอุทยานฯ แห่งนี้คือเป็นภูเขาหินทราย ยอดตัด เป็นที่ราบขนาดใหญ่คล้ายใบบอนหรือรูปหัวใจ มีเนื้อที่ประมาณ 60 ตารางกิโลเมตร มีความสูง 400-1,200 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง จุดท่องเที่ยวประทับใจได้แก่ ผานกแอ่น ผาหล่มสัก ผาหมากดูด น้ำตกเพ็ญพบ น้ำตกถ้ำสอเหนือ-ใต้ สระอโนดาด เป็นต้น
7. อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า 
ตั้งอยู่บนรอยต่อของสามจังหวัดคือ พิษณุโลก เพชรบูรณ์ และเลย ไร่ภูหินร่องกล้ามียอดเขาสูง 1,617 เมตร มีทิวทัศน์สวยงาม ปกคลุมด้วยป่าเต็งรังป่าดิบเขา และป่าสนเขา มีสนสองใบและสนสามใบ ขึ้นปะปนกัน และพบกล้วยไม้ดอกไม้ป่าหลายชนิดขึ้นอยู่ตามลานหิน เคยเป็นศูนย์กลางที่ตั้งฐานที่มั่นการเผยแพร่ลัทธิคอมมิวนิสต์ที่ใหญ่ และสำคัญที่สุดของภาคเหนือ จุดที่น่าสนใจ ลานหินปุ่ม ลานหินแตก น้ำตกหมันแดง เป็นต้น
8. ทุ่งบัวตองดอยแม่อูคอ – ดอยแม่เหาะ จ.แม่ฮ่องสอน

ดอยแม่อูคอ เป็นทุ่งดอกบัวตองที่มีพื้นที่ครอบคลุมเป็นเขากว้าง ประมาณ 1 พันไร่ ดอกบัวตองที่นี่เมื่อบานพร้อม ๆ กันในช่วงเดือน พฤศจิกายน-ธันวาคม จะเหลืองอร่ามปกคลุมทั่วทั้งภูเขา ดอยแม่เหาะ อยู่ริมทางหลวงหมายเลข 10-8 ตรงบริเวณหลักกิโลเมตรที่ 84 เขตตำบลแม่เหาะ เป็นที่ตั้งของศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขา จังหวัดแม่ฮ่องสอน บริเวณนี้ มีภูมิประเทศที่งดงาม มีชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง อยู่เป็นส่วนมาก ในเดือนพฤศจิกายน ถึงธันวาคม ของทุกปี ดอกบัวตอง หรือทานตะวันป่า จะบานสะพรั่ง ไปทั่วหุบเขา สวยงามมากทีเดียว
9. อุทยานแห่งชาติภูเรือ 
เป็นภูเขาสูงใหญ่ บนยอดเขาเป็นที่ราบกว้างใหญ่ มีต้นสนขึ้นสลับซับซ้อน มีลักษณะแปลกคือ มีส่วนหนึ่งเป็นผา ชะโงกยื่นออกมาเหมือน หัวเรือสำเภาใหญ่ อุทยานแห่งชาติภูเรือ จุดที่น่าสนใจบนอุทยานได้แก่ ผาโหล่นน้อย ภูผาสาด และทะเลภูเขา ผาซับทอง หรือ ผากุหลาบขาว เป็นหน้าผาสูงชัน และแหล่งน้ำซับที่มีพืชน้ำไลเคนสีเหลืองคล้ายสีทอง ขึ้นเต็มไปทั่ว น้ำตกห้วยไผ่ เป็นน้ำตกที่ไหลจากหน้าผาสูงชัน ยอดภูเรือ เป็นจุดสูงสุดในอุทยานฯ สามารถมองเห็น แม่น้ำเหืองและแม่น้ำโขงที่กั้นพรมแดนระหว่างไทย-ลาว
10. อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว 
สภาพพื้นที่เป็นภูเขาสูงที่ป่าปกคลุมอากาศหนาวเย็นเกือบตลอดทั้งปี การเดินทางขึ้นดอยค่อนข้างลำบาก แต่เมื่อขึ้นไปถึงแล้วจะพบดอกไม้ป่า พันธุ์ต่าง ๆ เช่น ดอกหงอนนาค ดอกไม้ดินต่าง ๆ สวยงามมาก แหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจ ได้แก่น้ำตกภูสอยดาว และลานสน


ที่น่าสนใจอื่นๆที่ยังคงมีเสน่ห์ดึงดูดนักท่องเที่ยวไป
1. ปางอุ๋ง
หมู่บ้านรวมไทย เป็นหมู่บ้านโครงการพระราชดำริปางตอง 2 (ปางอุ๋ง) ในพระบรมราชินูปถัมป์ของสมเด็จพระบรมราชินีนาถ
ลักษณะพื้นที่เป็นอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่บนยอดเขาสูง ริมอ่างเก็บน้ำเป็นแนวสนที่ปลูกเรียงรายอย่างกลมกลืน ยามพระอาทิตย์ขึ้นจะสะท้อนผืนน้ำเป็นลำแสงสีทองผ่านแนวสนเขียวขจี งดงามจนถือได้ว่าเป็นทะเลสาบที่สวยที่สุดในเมืองไทย เปรียบได้กับ นิวซีแลนด์เมืองไทย และเมื่อได้สัมผัสกับแปลงพันธ์ไม้เมืองหนาวหลากสีสันที่ปลูกประดับในโครงการ ฯ ซึ่งเปรียบเสมือนกับ สวิสเซอร์แลนด์เมืองไทย ปางอุ๋ง …เมื่อฟากหนึ่งเป็นนิวซีแลนด์ และอีกฝั่งหนึ่งเป็นสวิสเซอร์แลนด์

2. ปาย
ในฤดูหนาวที่เยือนมาอีกรอบหนึ่งของเมืองไทย หลายๆคนจัดแจงวางแผนบุกป่าผ่าเขาเพื่อค้นหาความเยือกเย็นที่ปีหนึ่งจะมีสักครั้งที่แน่ๆ เกือบทั้งหมดนั้นเดินทางขึ้นเหนือ จะไปที่ไหนก็ตามแต่ ที่นี่หลายคนบอกว่าไม่ควรพลาด อ.ปาย ที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน ปาย เป็นเมืองเล็ก ๆ ที่ถูกโอบล้อมไปด้วยขุนเขา สูงตระหง่านเป็นรอยต่อชายแดนไทย-พม่า ฤดูหนาวอากาศเย็นจัด เมืองเล็กๆแห่งนี้มักปกคลุมด้วยสายหมอก ละอองน้ำจางๆยามเช้า บรรยากาศอันเงียบสงบ ทุ่งนาสีเขียว ท้องฟ้าสีคราม กับแสงแดดอุ่นๆ ที่ทอดผ่านม่านหมอกหนา แลเห็นต้นสนไม้ยืนต้นเมืองหนาวสูงใหญ่เป็นทิวแถวตามเชิงเขา วิถีชีวิตที่เรียบง่ายของผู้คน ด้วยความเป็นเอกลักษณ์นี้ “ปาย”ได้ดึงดูดนักเดินทางให้มาสัมผัสมนต์เสน่ห์แห่งนี้
อ้วก + หลับ = แม่ฮ่องสอน
 3. ภูทับเบิก
ตั้งอยู่ที่ บ้านทับเบิก ต.วังตาล ห่างจากอ.หล่มเก่า 40 กม. และห่างจากตัวจังหวัดเพชรบูรณ์ประมาณ 97 กม. มีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,768 เมตร และเป็นจุดที่สูงที่สุดของเพชรบูรณ์ ชาวเพชรบูรณ์เรียกว่า “ภูทับเบิก”
ภูทับเบิก มีสภาพภูมิประเทศที่สวยงามด้วยธรรมชาติแบบทะเลภูเขา ป่าไม้ ต้นไม้เมืองหนาวและน้ำตก มีอากาศบริสุทธิ์ สภาพภูมิอากาศเย็นสบายตลอดปี เนื่องจากร่องลมเย็นจากเทือกเขาหิมาลัยและอยู่บนที่สูง จึงสามารถมองเห็นทิวทัศน์ได้กว้างไกล โดยช่วงเข้าจะมองเห็นกลุ่มเมฆ และทะเลหมอกตัดกับยอดเทือกเขาเพชรบูรณ์
 
 
 
ปัจจุบันภูทับเบิกเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของชนกลุ่มน้อยเป็นชาวไทยภูเขาเผ่าม้ง ซึ่งได้อพยพมาอาศัยอยู่ที่บ้านทับเบิก หมู่ที่ 14 และหมู่ที่ 16 ต.วังตาล อ.หล่มเก่า จ.เพชรบูรณ์ โดยอยู่ในความดูแลของศูนย์พัฒนาสงเคราะห์ชาวเขาจังหวัดเพชรบูรณ์ จึงทำให้ภูทับเบิกมีสีสันด้วยวิถีชาวไทยภูเขา ซึ่งประกอบด้วยอาชีพทำการเกษตรแบบขั้นบันไดตามเชิง
สรุปเหรียญซีเกมส์

สรุปเหรียญซีเกมส์ 2011 วันที่ 22 พฤศจิกายน 2554 อัพเดทเวลา 09.20 น. 


สรุปประเด็นข่าวโดยกระปุกดอทคอม 
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก seag2011.com
        การแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 26 ที่ประเทศอินโดนีเซีย ประจำวันที่ 22 พฤศจิกายน 2554 ไทยกวาดอีก 10 ทอง รวม 107 เหรียญ รั้งที่ 2 แน่นอนแล้ว
         การแข่งขันซีเกมส์ ครั้งที่ 26 ที่ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันรองสุดท้ายของการแข่งขัน ปรากฏว่า นักกีฬาไทยสร้างผลงานเจ๋ง! กวาดมาอีก 10 เหรียญทอง โดยได้มาจากมวยสากลสมัครเล่น 3 เหรียญทอง ยกน้ำหนัก 2 เหรียญทอง พาราไกลดิ้ง 2 เหรียญทอง เทนนิส 1 เหรียญทอง วูซู 1 เหรียญทอง และสปอร์ตแอโรบิกอีก 1 เหรียญทอง ส่งผลให้ทีมชาติไทยคว้าไปแล้วรวม 107 เหรียญทอง 100 เหรียญเงิน 120 เหรียญทอง รวม 327 เหรียญ รั้งอันดับ 2 ของตารางเป็นที่แน่นอนแล้ว หลังทิ้งห่างเวียดนามถึง 11 เหรียญทอง นอกจากนี้ ในวันนี้ (22 พฤศจิกายน) ทัพนักกีฬาไทยยังได้ลุ้นอีก 2 เหรียญทอง จากฟุตซอลชาย และฟุตซอลหญิง
          ขณะที่เจ้าภาพ อินโดนีเซีย ก็รั้งตำแหน่งเจ้าเหรียญทองเป็นที่เรียบร้อยแล้วเช่นกัน หลังสามารถโกยเหรียญทองไปได้ถึง 182 เหรียญทอง 151 เหรียญเงิน และ 142 เหรียญทองแดง ส่วนอันดับ 3 ยังเป็นเวียดนามที่คว้าไป 96 เหรียญทอง อันดับ 4 มาเลเซีย ตามมาห่าง ๆ ที่ 59 เหรียญทอง แต่สามารถคว้าเหรียญทองฟุตบอลชายไปได้สำเร็จ ส่วนที่ 5 คือ สิงคโปร์ 42 เหรียญทอง


         
"โสรัจจะ"ทายเสียว!ปี54"หายนะ"กว่าปีนี้ ไทยมีสิทธิ"สิ้นแผ่นดิน?" โลกวิปริตอาเพศใหญ่หลวง ตายเป็นเบือ
กลายเป็นที่ฮือฮาทั่วบ้านทั่วเมือง เมื่อ คำพยากรณ์ที่บ่งบอกความ "หายนะ" หลากหลายด้านในประเทศไทย ของ "โสรัจจะ นวลอยู่"  อีกหนึ่งสุดยอดโหราจารย์ชื่อก้อง  ที่เปรียบดั่ง "นอสตราดามุสเมืองไทย"
 ในหนังสือดัง "ศาสตร์แห่งโหร 2553"  ได้เกิดเหตุการณ์วิกฤต และความวิปโยคอย่างค่อนข้างแม่นยำและใกล้เคียง จนน่าสะพรึงกลัว  ไม่ว่าจะเป็น เหตุวุ่นวายทางด้านการเมืองที่ถึงขั้นนองเลือด สูญเสียชีวิตประชาชนไปเป็นจำนวนไม่น้อย เมื่อช่วงเดือนเมษายน-พฤาภาคมที่ผ่านมา  ที่ "คนไทยแตกความสามัคคี"  ถึงขั้นเผาบ้านเผาเมือง   การตายหมู่จากเครื่องบิน รถยนต์ ฯลฯ และที่กำลังเกิดขึ้นอยู่สดๆ ร้อนๆ คือ มหันตภัยน้ำท่วมในพื้นที่ภาคเหนือ กลาง อีสาน และกำลังใกล้เข้าสู่กรุงเทพฯ ขึ้นทุกที  สร้างความเดือดร้อน และยัดเยียดความทุกข์ยากให้กับราษฎรไปทุกหย่อมหญ้า
 พยากรณ์ดวงเมือง ประจำปีเถาะ พ.ศ. 2554  ในหนังสือ ศาสตร์แห่งโหร ฉบับพิเศษ   รู้ทันดวงกับโหรดัง 2554  คราวนี้ โสรัจจะ  ก็ได้เขียนคำทำนายชะตากรรม ของโลก มวลมนุษยชาติ และชาติไทย ที่ต้องเผชิญวิปริตอาเพศซึ่งมีมากกว่าปีที่ผ่านมาว่า อย่างใหญ่หลวง ดั่งไฟนรกโลกันต์ลามเลียให้วอดวาย ฉิบหายกันถ้วนหน้าไม่แพ้ ปีเสือบ้าเลือดเช่นกัน
บางส่วนจาก หนังสือ  ศาสตร์แห่งโหร 2554  โสรัจจะ ระบุคำพพยากรณ์ดวงเมือง(ไทย)ไว้ว่า ดาวสีเลือดได้รับแสงจากดวงมฤตยูในช่วงเดือนมีนาคม 2554  เป็นดาวปฏิวัตินองเลือดในมุมร่วมธาตุ ย่อมเกิดสภาพการเดิอดพลุ่งพล่านไม่สงบ เดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า เกิดศึกสงครามทั้งภายในและภายนอก เกิดความยุ่งยากทางการเมืองขนาดหนัก แต่ยังน้อยกว่า มหันตภัยที่สุดมหาหฤโหดไปทั่วโลก ซึ่งจะทำให้โลกเปลี่ยนแปลงไปรวดเร็วทุกสิ่งอย่างไม่เหมือนเดิม...
"น้ำในแม่น้ำและคลองทั้งปวงจะแดงเป็นโลหิต เมฆและท้องฟ้าจะแดงเป็นแสงไฟ แผ่นดินไหวสั่นสะเทือน ฤดูหนาวจะเป็นฤดูร้อน ที่ลุ่มจะกลับดอน ที่ดอนจะกลับลุ่ม โรคภัยจะเบียดเบียนสัตว์และมนุษย์ทั้งปวง มนุษย์หนึ่งในสี่ของโลกจะพลันตายลง จะเกิดข้าวยากหมากแพง ฝูงมนุษย์จะอดอยาก เสื้อเมืองทรงทรงเมืองจะหลีกเลี่ยง"
ในอนาคตไม่กี่ปีข้างหน้า กรุงเทพฯ และทั่วทุกภาคทุกจังหวัดจะถูกน้ำท่วมไปหมด ที่เกิดจากน้ำทะเลไหลทะลักเข้ามา และเกิดจากอุทกภัยอีกหลายครั้งจนต้องอพยพผู้คนหนีน้ำขึ้นเหนือไปเรื่อยๆ เกือบสุดเขตแดนไทย เมื่อนั้นคนไทยก็คงไร้สิ้นแผ่นดินได้? 
จะเกิดโรคระบาดครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 100 ปี "ไข้หวัดนก" หรือไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ที่พัฒนาตนเองแพร่จากสัตว์มาสู่คนและคนนำพาให้คนเสียชีวิตจำนวนมาก เชื้อโรคจะแพร่ขยายทางอากาศไม่มีอะไรมาหยุดยั้งเชื้อนรกนี้ได้
ปลายเดือนธันวาคม พระเสาร์ย้ายเข้าเล็งดวงเมืองทำให้บางประเทศหนาวเย็นจนอยู่ไม่ได้ ผู้คนล้มตายมาก  เมืองไทยจะเกิดอากาศร้อนจัดและหนาวจัดในเดือนเดียวกัน วิกฤตสุดรอบ 1,000ปี  กรุงเทพฯจะมีหิมะตก...
 ปีเถาะ 2554 เป็นปีที่ต้องต่อสู้กันทรหด ทั้งการเมืองและเศรษฐกิจ  ใครก็ตามที่เป็นรัฐบาลต้องเผชิญวิกฤตการณ์รุนแรงที่สุด  ฝ่ายค้านจะแย่งอำนาจ คนในเครื่องแบบจะรอให้ทั้งสองฝ่ายเพลี่ยงพล้ำลง  ส่วนประชาชนตาดำๆ และยากจนก็จะหวาดผวา ปัญหาคอร์รัปชั่นรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ  ตั้งแต่ต้นปี   ถึงขนาดรัฐบาลต้องมีอันเป็นไป
...เหตุการณ์ของประเทศจะพลิกผันอย่างที่ไม่เคยเห็น และจะเกิดความว่างเปล่า ไม่มีนักการเมืองพรรคใดหลงเหลืออยู่ ระบบพรรคการเมืองจะสูญสิ้นไปจากประวัติศาสตร์การเมืองไทย
 ผู้เป็นใหญ่และผู้คนสำคัญจะร่วงหล่นกันมาก อำนาจเก่าๆ ของคนเก่าๆ เสื่อมถอย จะมีเหตุการณ์นองเลือดรุนแรงเกิดขึ้น ประมาทมิได้ กลุ่มชน ฝูงชน อาจจะเคลื่อนไหวด้วยการสนับสนุนของผู้มีอำนาจเก่าอย่างเร้นลับ
"นักการเมืองชั่วพึงระวังเอาไว้ ถึงเวลานั้นประชาชนอาจลุกฮือขึ้นมาฆ่าเองโดยไม่แคร์ขื่อแปบ้านเมือง ดวงของบ้านเมืองใกล้ถึงจุดนี้แล้ว ..."
ดาวอังคารสีเลือดย้ายเข้าสู่ราศีมีน เล็งดาวพระเสาร์ เดือนมีนาคมและเดือนเมษายน ปี 55 จะมีลางร้ายบอกเหตุล่วงหน้า  การเมืองรุนแรงเหมือนพายเรือในอ่าง วนเวียนซ้ำไปมาเหมือนปีก่อนๆ  ประชาชนชุมนุมเป็นเรือนแสนตามท้องถนน  เกิดขึ้นจากความโกรธแค้นและรู้ทันความเคลือบแคลงของรัฐบาล  ซ้ำยังเกิดจลาจลเผาเมือง สถานที่สำคัญต่างๆ ของรัฐบาล  รถถัง รถปราบจลาจล  ทั้งในกรุงเทพฯและปริมณฑล ถูกเผายับเยิน ผู้คนล้มตายมหาศาล ผ่านไปหลายเดือนกว่าจะสงบ   คนในเครื่องแบบแตกแยก เกิดเป็นสงครามกลางเมือง เลือดไทยต้องไหลรินนองแผ่นดิน เป็นหนทางสู่ "ปฏิวัติรัฐประหาร"ใหญ่อีกครั้งเรียกว่า  เหตุร้ายหนักกว่า ในเดือนพ.ค.  53
เดือน ก.ค. ความสัมพันธ์ประเทศเพื่อนบ้านเข้าสู่ภาววะยุ่งเหยิง ขอให้ทุกฝ่ายสมานสามัคคี อย่าแตกแยกไม่งั้นศัตรู ซึ่งเป็นหอกข้างแคร่ จะหาโอกาสจ้องทำลาย แต่ถ้ามีเหตุรุนแรงไทยจะไม่เสียเอกราชแน่ แต่จะเสียเลือดเนื้อไปมาก
ด้านเศรษฐกิจ เรียกว่าเป็นปีหายนะทางด้านเศรษฐกิจอย่างแท้จริง ยังไม่สามารถแก้ไขให้ดีขึ้น ประชาชนเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า  ธนาคารแต่ละแห่งแตกแยกหนัก ทั้งเล็กใหญ่ปิดตัว หุ้นร่วงตลอดปี
ปัญหาภาคใต้ยังยิง-ลอบวางระเบิดไม่หยุด สหประชาชาติสะเทือน   ผู้ก่อการร้ายใช้อาวุธมีอานุภาพสูงจากภายนอกเข้ามาประกาศแบ่งแยกดินแดน ดวงผู้นำประเทศอ่อนแรง เป็นช่องให้ถูกทำร้าย.......
 ขณะที่ กรหริศ บัวสรวง  ผู้อำนวยการสถาบันพยากรณ์องค์รวม  ซึ่งเคยพยากรณ์  นักการเมืองถูกฟ้องร้องเป็นคดีความ บุคคลสำคัญทางการเมืองถูกลอบทำร้าย สภาผู้แทนกลายเป็นเวทีแห่งความขัดแย้ง   วงการบันเทิงดารา นักร้อง นักแสดงชื่อดังจะเสียชื่อเสียง ไปเมื่อ ปี 53  ที่ผ่านมา จนเป็นที่กล่าวขานไปเช่นกัน ก็ทำนายสถานการณ์ต่างๆ ในปี 2554 เช่นกันว่า ปีนี้ เปรียบเหมือนเป็น กระต่ายที่ตื่นเต้นลุกลี้ลุกลน  เป็นจุดหัวเลี้ยวหัวต่อของดวงเมืองซึ่งแย่งชิงอำนาจกันไม่ลดละ ถือเป็นอันตรายในระบอบประชาธิปไตย  ดวงเมืองจะสงบสุขร่มเย็นแค่ 5 เดือนเท่านั้น พร้อมกับเตือนรัฐบาล ภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ว่า ถ้าไม่สามารถเข้าถึงคนไทยส่วนใหญ่ได้  โอกาสการก้าวสู่สิ่งที่ดีในอนาคตอาจหลุดลอยไป 
 ขณะที่นักการเมืองที่สร้างความอัปยศ สร้างความเสียหายให้กับบ้านเมืองจะพลาดโอกาสได้รับการเลือกตั้ง แต่คนที่มีคุณธรรม จริญธรรมมีโอกาสก้าวเข้ามาเป็นผู้นำคนใหม่ได้สูง ส่วนเหตุการณ์ไม่ปกติ วุ่นวาย จะอยู่ในระหว่างเดือนกันยายนถึงตุลาคม  เกษตรกร หรือผู้ใช้แรงงานอาจมาชุมนุมประท้วง วงการทหาร ตำรวจเกิดความขัดแย้ง
 กรหริศ ทำนายภาพรวมเศรษฐกิจใน ปี 54 ว่า  การลงทุนดีเกือบตลอดทั้งปี แต่ภาคอุตสาหกรรมต้องแบกรับภาระ ปชช.เดือดร้อน  แต่ธุรกิจประเภทการสื่อสารทุกประเภท ทั้งโทรศัพท์ โทรทัศน์ผ่านดาวเทียม สังคมออนไลน์ จะมีการแข่งจขันสูง  การท่องเที่ยวโกยผลกำไร  อหังสาริมทรัพย์ขยายตัว คนกทม.เล็งหาที่อยู่ใหม่หลีกปัญหาน้ำท่วมใหญ่ในอนาคต  เด็กและเยาวชนส่วนใหญ่จะหันมาทำความดี  คนในสังคมร่วมกิจกรรมจิตอาสามากขึ้น แต่ในปลายปีอาจมีความเศร้าโศก สะเทือนใจจากการจากไปของบุคคลสำคัญ...
 นี่เป็นแค่ส่วนหนึ่งของ  "ศาสตร์แห่งโหร 2554" ที่รวบรวมคำทำนาย ของ โสรัจจะ และ กรหริศ  ในการลำเลียงคำพยากรณ์มาให้ผู้อ่านรับรู้ความเป็นไปเรื่องราวที่น่าสนใจอย่างรอบด้าน ในการไขความลับแห่งโชคชะตา โดยสุดยอดโหราจารย์ที่มีเชื่อเสียงที่ได้รับความเชื่อถือมาตลอด 30 ปี   นอกจากนี้ ยังมีคำพยากรณ์ของ ทั้งหมอทรัพย์ สวนพลู อ.จุฑามาศ ณ สงขลา  และปรมาจารย์แห่งโหรชื่อดังอีกหลายท่าน รวบรวมอยู่ในหนังสือเล่มดังกล่าวด้วย เพื่อให้รู้ทันดวงชะตาของ ทั้งโลก เมือง และของตัวเอง ตลอดปี 2554 นี้ ทั้งเรื่องเล็กเรื่องใหญ่  หลายอาจไม่เชื่อเรื่องคำทำนาย ทายทัก แต่ถ้าเราได้รับรู้เพื่อเตรียมตัว ในการรับมือ และป้องกันสิ่งต่างๆ ได้ ก็จะทำให้ไม่ประมาทในการดำรงชีวิตที่อาจทำให้เราหมดหวัง หดหู่ แต่สุดท้ายแล้ว ทุกคนต้อง "ก้าวไปข้างหน้า"อย่างมี "ความหวัง"กันต่อไป