วันเสาร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2555

"สาธารณรัฐเช็ก" (Czech) อีกหนึ่งประเทศที่มีชื่อเสียงทางด้านการท่องเที่ยวที่ตั้งอยู่ตอนกลางของทวีปยุโรป เป็นประเทศที่ไม่มีพื้นที่ติดต่อกับทะเล มีพรมแดน ด้านเหนือติดกับ โปแลนด์ ด้านใต้ติดกับออสเตรีย ทิศตะวันออกติดกับสโลวักและทิศตะวันตกติดกับเยอรมนี...




  "คุทนาโฮรา

     โดยมี "ปราก" Prague) เป็นเมืองหลวงและเมืองใหญ่ที่สุดในสาธารณรัฐเช็ก และเมื่อ ค.ศ. 1992 องค์การยูเนสโก ได้ประกาศให้ปรากเป็นมรดกโลก ปัจจุบันเป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวยอดนิยมมากที่สุดแห่งหนึ่งของทวีปยุโรป

     "คุทนาโฮรา" (Kutna Hora) อีกหนึ่งเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของเขตเซ็นทรัลโบฮีเมีย (Central Bohemian) เป็นเมืองที่สำคัญมากที่สุดเป็นอันดับสอง(รองจากกรุงปราก) ของอาณาจักรโบฮีเมียน เนื่องจากเคยมีเหมืองเงินซึ่งเคยเปิดมาเป็นเวลา 250 ปี 






     "คุทนาโฮรา

     ในช่วงศตวรรษที่ 14 ประชากรของเมืองนี้มีจำนวนเท่ากับประชากรของกรุงลอนดอน แต่ในปัจจุบันเมืองนี้เป็นเพียงเมืองเล็กๆที่มีประชากร 20,000 กว่าคน มีโบสถ์สไตล์โกธิกที่สวยงามให้เห็นอยู่มากมาย เช่น โบสถ์เซนต์บาร์บารา (St. Barbara Cathedral) (1388-1565) ซึ่งเป็นหนึ่งของสิ่งก่อสร้างสไตล์โกธิกที่สวยงามมากที่สุด 

     และอิตาเลี่ยนคอร์ท (Vlassky dvur) ที่มีโรงกษาปณ์ซึ่งครั้งหนึ่งเคยผลิตเหรียญกษาปณ์โกรสเชนที่มีชื่อเสียงของกรุงปรากขึ้นมา (ณ เวลานั้นเป็นตัวแทนสกุลเงินแข็งของยุโรปกลาง) สโตนเฮาส์ (Stone House) และโบสถ์เซนต์เจมส์ (St. James Church) เป็นต้น 




     "โบสถ์กระดูก

     ในปี 1995 คุทนาโฮราถูกประกาศให้เป็นแหล่งมรดกโลกและนับจากนั้นก็ได้รับการคุ้มครองจากองค์การยูเนสโก ในปัจจุบันเมืองนี้ได้รับผลประโยชน์เป็นรายได้จากนักท่องเที่ยวและจากโรงงานยาสูบของบริษัทฟิลลิปมอร์ริส เซดเลกอยู่ทางเหนือของคุทนาโฮรา และในศตวรรษที่ 19 ที่เก็บกระดูกของนักบวชนิกายซิสเตอร์เชียนในเซดเลกก็ได้ถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นงานศิลปะแห่งความตายอันน่ากลัวของฟรานติเสค รินท์ มีโกศเก็บกระดูก โคมไฟระย้า และแม้กระทั่งลัญจกรของตระกูลชวาร์เซนเบิร์ก

     สำหรับการท่องเที่ยวในเมืองคุทนาโฮรานั้น สถานที่ท่องเที่ยวแรกที่อยากแนะนำให้คุณไปเยือน คือ "ที่เก็บกระดูก" (Ossuary) เป็นโบสถ์สุสานเล็กๆตั้งแต่ตอนปลายของศตวรรษที่ 14 และได้ถูกสร้างใหม่ในสไตล์บารอกโดยเจบี ซานตินี กระดูกที่ใช้ตกแต่งภายในโบสถ์นี้ตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 มาจากสุสานที่อยู่ติดกัน



     "โบสถ์กระดูก

     "โบสถ์กระดูก" ของที่เก็บกระดูกแห่งเซดเลกนี้ตั้งอยู่นอกใจกลางเมืองคุทนาโฮรา ถ้าคุณมาถึงโดยรถไฟให้เดินไปทางใต้ของสถานีรถไฟหลักเมืองคุทนาโฮราเป็นระยะทาง 800 เมตรเพื่อไปยังสถานที่นี้

     เมื่อครอบครัวชวาร์เซนเบิร์กซื้ออารามเซดเลกในปี 1870 พวกเขาได้อนุญาตให้ช่างแกะสลักไม้ท้องถิ่นใช้ความคิดสร้างสรรค์กับกระดูกที่กองซ้อนกันอยู่ในห้องใต้ดินมาหลายศตวรรษแล้ว แต่กระดูกเหล่านี้ไม่ใช่กระดูกที่ไร้ประโยชน์กองเล็กๆ มันเป็นซากกระดูกของคนไม่น้อยกว่า 40,000 คน



     "โบสถ์เซนต์บาร์บารา

     แต่ผลลัพท์ก็น่าตื่นตาตื่นใจ มาลัยกะโหลกศีรษะและกระดูกโคนขาถูกร้อยห้อยลงมาจากเพดานทรงโค้งเหมือนของตกแต่งวันคริสต์มาสของครอบครัวอาดัมส์ ในขณะเดียวกันตรงกลางห้องมีโคมระย้าอันใหญ่ ที่ประกอบด้วยกระดูกอย่างน้อยหนึ่งชิ้นจากร่างกายมนุษย์ห้อยลงมา มีกองกระดูกวางซ้อนกันเป็นรูปปิรามิดยักษ์จำนวน 4 กอง

     ในแต่ละมุมโบสถ์ และมีไม้กางเขน จอกเหล้าและโกศอัฐิที่ถูกใช้นำมาตกแต่งแท่นบูชา มีแม้กระทั่งลัญจกรของตระกูลชวาร์เซนเบิร์กที่ทำมาจากกระดูก – เป็นสัญลักษณ์รูปนกกาจิกดวงตาจากศีรษะของชาวเติร์กซึ่งเป็นแม่ลายอันน่าสะพรึงกลัวของครอบครัวชวาร์เซนเบิร์ก



     "อิตาเลียนคอร์ท

     หลังจากนั้นขอแนะนำให้คุณไปเยือน "โบสถ์เซนต์บาร์บารา" (St. Barbara’s Cathedral) – เป็นตัวอย่างของสถาปัตยกรรมสไตล์โกธิกชั้นสูงตอนปลายที่ไม่เหมือนใคร การก่อสร้างโบสถ์แห่งนี้เริ่มขึ้นตอนปลายศตวรรษที่ 14 โบสถ์แห่งนี้เป็นที่ตั้งของหอศิลป์ภาพจิตกรรมยุคเรอเนสซองซ์และโกธิกตอนปลาย

     ต่อมาแนะนำให้คุณมุ่งหน้าไปเยือน "อิตาเลียนคอร์ท" (Italian Court) – เดิมเป็นโรงกษาปณ์กลางที่ทำการผลิตเหรียญโกรสเชนของกรุงปราก สถานที่นี้ได้กลายมาเป็นพระที่นั่งชั่วคราวของกษัตริย์หลังจากได้มีการก่อสร้างใหม่ในตอนปลายศตวรรษที่ 14



     "อิตาเลียนคอร์ท

     จากนั้นไม่พลาดไปชม "โบสถ์เซนต์จอห์นแห่งเนโพมุค" (Church of St. John of Nepomuk) – มีสไตล์บารอกช่วงปลาย ตัวอาคารออกแบบโดย ฟรานทิเสค แม็กซ์มิเลียน คันคา และถูกสร้างขึ้นในระหว่างปี ค.ศ.1734 – 1754 ภาพจิตกรรมเพดานอันโดดเด่นแสดงถึงตำนานของนักบวชเซนต์จอห์นเนโพมุค มีชุดรูปปั้นที่ถูกเรียกว่า “สวรรค์แห่งเช็ก” ( Czech Heaven) เพื่อเฉลิมฉลองนักบุญผู้คอยอุปถัมภ์เช็กไว้ให้ดูด้วย

     ถัดไปแนะนำให้คุณไปเยือน "โบสถ์คริสติ" (Christi Chapel) – เป็นอาคารสไตล์โกธิกที่ยังสร้างไม่เสร็จซึ่งมีมาตั้งแต่ตอนช่วงขึ้นศตวรรษที่ 15 มีจุดประสงค์เพื่อใช้เป็นที่เก็บกระดูก โบสถ์แห่งนี้เป็นหนึ่งในไม่กี่ตัวอย่างของสถาปัตยกรรมโกธิกชั้นสูงที่ยังคงได้รับการรักษาไว้อย่างสมบูรณ์ ที่ระเบียงของโบส์นี้สามารถมองเห็นทัศนีภาพอันน่าประทับใจของเมือง

     หลังจากนั้นเดินางไปเยือน "ฮราเดค" (Hradek) – เดิมทีเป็นพระราชวังสไตล์โกธิกพร้อมด้วยลานและหอคอยที่ถูกสร้างขึ้นก่อนปี ค.ศ. 1420 ในปัจจุบันนี้ ฮรา-เดคเป็นที่แสดงนิทรรศการของพิพิธภัณฑ์เช็กซิลเวอร์ (Czech Silver Museum)



     "โบสถ์อัสสัมชัน

     ต่อมาแนะนำให้คุณไปชม "โบสถ์อัสสัมชัน" (Cathedral of the Assumption) – เคยเป็นของชาวซิสเตอร์เชี่ยน โบสถ์นี้เป็นหนึ่งในผลงานที่สำคัญที่สุดของสถาปัตยกรรมโกธิกของเช็กในศตวรรษที่ 14 โบสถ์นี้เป็นโบสถ์แรกที่สร้างขึ้นในโบฮีเมีย ซานตินีเป็นคนสุดท้ายที่ตกแต่งภายนอกโบสถ์ในสไตล์บารอกโกธิกในช่วงต้นศตวรรษที่ 18

     สุดท้ายแนะนำให้คุณไปเยือน "บ้านแซ็งค์ทูรินอฟสกี" (Sankturinovsky House) – เดิมทีเป็นอาคารสไตล์โกธิกที่มีมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 พร้อมมีโบสถ์ที่ได้รับการตกแต่งอย่างหรูหรา ในปัจจุบันบ้านนี้เป็นที่ตั้งของศูนย์ข้อมูล หอศิลป์เฟลิกซ์จีนเวนและพิพิธภัณฑ์อัลเคมี

     การเดินทาง - คุทนาโฮรา ตั้งอยู่ห่างจากกรุงปรากไปทางทิศตะวันออก 65 กิโลเมตร ถ้าเดินทางโดยรถประจำทางใช้เวลา 70 นาทีจากสถานีฟลอเรนซ์ ถ้าเดินทางโดยรถไฟใช้เวลา 55 นาทีจากสถานีหลัก ค่าตั๋วรถไฟหรือรถประจำทางตกอยู่ราวๆ 70 โครูนาเช็ก 


วันพุธที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2555

วันนี้ มาเสนอเมนูของทานเล่นทำกินง่ายๆค่ะ


      Jelly Orange เยลลี่เสิร์ฟมาในผลส้ม



                                        
                                               

ส่วนผสม ก็มีง่ายๆดังนี้ ^^
  1. ผงวุ้น 1 ช้อนโต๊ะ
  2. เยลลี่ผง (เจลาติน) 1/2 ช้อนโต๊ะ
  3. น้ำสะอาด ½ ลิตร
  4. น้ำตาลทราย 3 ขีด
  5. สีผสมอาหารเล็กน้อย (สีตามชอบ)
  6. ส้มขนลาดเล็กหรือขนาดกลาง 5-6 ผล
มาถึงขั้นตอนการทำกันค้า

ทำการผ่าครึ่งส้ม และคั้นน้ำออกและดึงเส้นใยส้มออก เราจะได้เปลือกส้มตามต้องการ


          


2 เมื่อได้เปลือกส้ม แล้ว เราจะมาทำการละลายเยลลี่ 

วิธีทำ

เริ่มทำเยลลี่โดยละลายผงวุ้นและเยลลี่ผง (เจลาติน) กับน้ำสะอาด คนให้เข้ากัน
นำไปตั้งไฟกลางๆ รอจนเดือด ระหว่างนั้นให้คนตลอดเวลากันไม่ให้จับตัวเป็นก้อน
ใส่สีผสมอาหารเพื่อความสวยงาม คนให้เข้ากัน ใส่ผลไม้ที่เหลือลงไปเพื่อให้มีกลิ่นหอม
ปล่อยให้เดือดสักพักแล้วปิดไฟ

3 เมื่อเราได้เยลลี่ที่ละลายเตรียมไว้แล้ว ก็ตักเยลลี่นั้นใส่เปลือกส้มที่เตรียมไว้ พักไว้ให้เย็นแล้วนำเข้าตู้เย็น 

4 เมื่อต้องการทาน ให้นำออกมาหั้นเป็นชิ้นๆ ตามภาพ 


      


      



แค่นี้ก็เสร็จแล้วค่ะ ง่ายๆๆแค่นี้เอง -..-




วันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2555

10จ.ที่พื้นที่มากที่สุดในประเทศไทย







  • จังหวัดลำปาง มีขนาดพื้นที่ประมาณ 12,534 ตารางกิโลเมตร มีประชากร 761,949 คน (ข้อมูลปี 2553) เป็นจังหวัดหนึ่งในภาคเหนือตอนบน ภูมิประเทศอุดมสมบูรณ์ด้วยป่าไม้และภูเขาสูง มีประวัติศาสตร์เก่าแก่ยาวนาน มีชื่อเดิมว่า เขลางค์นคร เป็นที่รู้จักกันดีอีกชื่อหนึ่งว่า เมืองรถม้า สถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อของจังหวัดลำปางได้แก่ ดอยลังกาหลวง อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน วัดปงสนุก วัดพระแก้วดอนเต้า กาดกองต้า


  • จังหวัดเพชรบูรณ์ มีพื้นที่ประมาณ 12,668 ตารางกิโลเมตร มีประชากร 996,031 คน (ข้อมูลปี 2553) เป็นจังหวัดในภาคเหนือตอนล่างและตอนบนของภาคกลาง ของประเทศไทย แหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อของจังหวัดเพชรบูรณ์ได้แก่ ภูทับเบิก เขาค้อ อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ น้ำตกงามศรีดิษฐ์


  • เมืองสามหมอก จังหวัดแม่ฮ่องสอน มีพื้นที่ประมาณ 12,681 ตารางกิโลเมตร มีประชากร 242,742 คน (ข้อมูลปี 2553) เป็นจังหวัดในภาคเหนือของประเทศไทย มีความโดดเด่นหลายลักษณะ โดยเฉพาะสภาพภูมิประเทศ ความหลากหลายด้านวัฒนธรรม และความหลากหลายของประชากรจากหลายกลุ่มชาติพันธุ์ นับเป็นจังหวัดที่สถิติน่าสนใจหลายอย่าง เช่น มีประชากรเบาบางที่สุดในประเทศ และมีประชากรน้อยมากเป็นอันดับ 5 ในขณะที่มีพื้นที่มากเป็นอันดับ 8 ของประเทศ แหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อของจังหวัดแม่ฮ่องสอนได้แก่ ปาย ปางอุ๋ง ดอยปุยหลวง ทุ่งดอกบัวตอง


  • จังหวัดชัยภูมิ เป็นจังหวัดที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่ เป็นอันดับ 3 ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และอันดับ 7 ของประเทศ โดยมีเนื้อที่ประมาณ 12,778.3 ตารางกิโลเมตร มีประชากร 1,127,423 คน (ข้อมูลปี 2553) นับเป็นที่ตั้งของแหล่งอารยธรรมอันเก่าแก่ นับตั้งแต่สมัยทวารวดี สมัยขอม กระทั่งสมัยที่ได้รับอิทธิพลจากอาณาจักรล้านช้าง แหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อของจังหวัดชัยภูมิได้แก่ มอหินขาว ป่าหินงาม ทุ่งดอกกระเจียว


  • จังหวัดสุราษฎร์ธานี มีขนาดพื้นที่ประมาณ 12,891 ตารางกิโลเมตร มีประชากร 1,000,383 คน (ข้อมูลปี 2553) มักจะเรียกกันด้วยชื่อสั้น ๆ ว่า "สุราษฎร์" ใช้อักษรย่อ "สฎ" เป็นจังหวัดในภาคใต้ตอนบน มีพื้นที่ขนาดใหญ่เป็นอันดับ 6 ของประเทศ และมีประชากรหนาแน่นอันดับ 64 ของประเทศ นับเป็นจังหวัดหนึ่งที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน มีหลักฐานทั้งประวัติศาสตร์และโบราณคดีเก่าแก่ และยังมีแหล่งท่องเที่ยวและอุทยานแห่งชาติหลายแห่ง แหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อของจังหวัดสุราษฎร์ธานีได้แก่ เกาะเต่า เกาะพงัน เกาะสมุย เขื่อนรัชชประภา


  • จังหวัดอุบลราชธานี มีขนาดพื้นที่ 16,113 ตารางกิโลเมตร มีประชากร 1,813,088 คน (ข้อมูลปี 2553) เป็นจังหวัดทางตะวันออกสุดของภาคตะวันออกเฉียงเหนือและของประเทศไทย ทั้งยังเป็นตำบลที่ตั้งของเส้นเวลาหลักของประเทศ ที่เส้นแวง 105 องศาตะวันออก โดยเป็นจังหวัดแรกที่ได้เห็นดวงอาทิตย์ก่อนพื้นที่อื่น ๆ ทั่วประเทศ จังหวัดอุบลราชธานีเป็นเมืองใหญ่ริมฝั่งแม่น้ำมูลที่มีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานมากว่า 200 ปี มีพื้นที่กว้างใหญ่ ภายหลังถูกแบ่งออกเป็นจังหวัดใหม่คือจังหวัดยโสธรในปี พ.ศ. 2515 และจังหวัดอำนาจเจริญในปี พ.ศ. 2536 ซึ่งถ้ารวมพื้นที่อีกสองจังหวัดที่แยกออกไป จังหวัดอุบลราชธานีจะมีพื้นที่เป็นอันดับ 1 ของประเทศไทย แหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อของจังหวัด อุบลราชธานีได้แก่ สามพันโบก ผาแต้ม เขื่อนสิรินธร


  • จังหวัดตาก มีขนาดพื้นที่ประมาณ 16,407 ตารางกิโลเมตร มีประชากร 525,684 คน (ข้อมูลปี 2553) เป็นจังหวัดในภาคกลางตอนบนหรือบางแห่งจัดอยู่ในภาคตะวันตก ของไทย มีพื้นที่มากเป็นอันดับ 4 ของประเทศ แต่มีประชากรเบาบางที่สุดเป็นอันดับ 2 ของประเทศ นับเป็นจังหวัดชายแดนที่สำคัญอีกจังหวัดหนึ่งของไทย มีประวัติศาสตร์เก่าแก่นับแต่สมัยกรุงสุโขทัย ทั้งยังมีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติและวัฒนธรรมที่งดงามหลายแห่งด้วย นอกจากนี้จังหวัดตากยังเป็นจังหวัดที่มีอาณาเขตติดต่อจังหวัดอื่น ๆ มากที่สุดในประเทศไทย โดยมีอาณาเขตติดต่อถึง 9 จังหวัด แหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อของจังหวัด ตากได้แก่ น้ำตกทีลอซู น้ำตกปิ๊ตุ๊โกร อุ้มผาง ม่อนกิ่วลม


  • จังหวัดกาญจนบุรี ลักษณะทางภูมิประเทศส่วนใหญ่จะเป็นป่า ซึ่งจะมีทั้งป่าดงดิบและป่าโปร่ง มีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 19,473 ตารางกิโลเมตร มีประชากร 839,776 คน (ข้อมูลปี 2553) มีระยะทางห่างจากกรุงเทพมหานครประมาณ 129 กิโลเมตร แหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อของจังหวัดกาญจนบุรี ได้แก่ สะพานข้ามแม่น้ำแคว สุสานพันธมิตร น้ำตกเอราวัณ น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น สวนไทรโยก เขื่อนเขาแหลม


  • จังหวัดเชียงใหม่ เป็นหนึ่งในจังหวัดในประเทศไทย ซึ่งตั้งอยู่ทางภาคเหนือของประเทศ ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 20,107 ตารางกิโลเมตร หรือใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของประเทศ และมีจำนวนประชากรประมาณ 1.63 ล้านคน มากเป็นอันดับที่ 5 ของประเทศ แบ่งการปกครองออกเป็น 25 อำเภอ โดยที่อำเภอกัลยาณิวัฒนาเป็นอำเภอลำดับที่ 25 ของจังหวัด และลำดับที่ 878 ของประเทศ แหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อของจังหวัด เชียงใหม่ ได้แก่ ดอยอินทนนท์ พระธาตุดอยสุเทพ ห้วยน้ำดัง ขุนช่างเคี่ยน


  • จังหวัดนครราชสีมา หรือรู้จักในชื่อ โคราช มีขนาดพื้นที่ 20,494 ตารางกิโลเมตร มีประชากร 2,582,089 คน (ข้อมูลปี 2553) เป็นจังหวัดที่มีพื้นที่มากที่สุดในประเทศไทยและมีประชากรมากเป็นอันดับ 2 ของประเทศ อยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีอาณาเขตติดกับจังหวัดขอนแก่น จังหวัดชัยภูมิ จังหวัดบุรีรัมย์ จังหวัดลพบุรี จังหวัดสระบุรี จังหวัดนครนายก จังหวัดปราจีนบุรี และจังหวัดสระแก้ว แหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อของจังหวัด นครราชสีมา ได้แก่ เขาใหญ่ วังน้ำเขียว ปราสาทหินพิมาย พิพิธภัณฑ์ไม้กลายเป็นหิน

วันจันทร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2555

10 อาหารสยองโลก


อันดับ 10 ไก่พิษงู

                
              
               มาแทนไข่มดดำ เป็นอีกเมนูโหดที่ลงข่าวบ้านเราไม่นานมานี้เอง  ขนาดนักท่องเที่ยวมาเห็นถึงกับเอ่ยปากว่า "มันเป็นอาหารที่ขยะแขยง น่ารังเกียจ ผิดศิลธรรม และกระหายเลือดเกินบรรยาย" โดยวิธีทำโครตง่ายเพียงแต่สวมวิญญาณฆาตกรโหดจับงูพิษมากัดไก่เป็นๆ จนตายต่อหน้าต่อตาคนกิน แล้วผ่าเครื่องในออกมากินสดๆ โดยจีนเชื่อว่ามันมีสรรพคุณช่วยขับขับพิษออกจากร่างกาย โดยอาหารนี้ขายในร้านบางแห่งในมณฑลกวางตุ้งและนครฉงชิงทางภาคใต้ของจีน และปัจจุบันเห็นว่ามีการออกกฎห้ามจำหน่ายเมนูนี้ให้แก่ผู้บริโภคแล้ว แต่ก็คงแอบขายแบบลับๆ แหละ

อันดับ 9  ลูกกวาดยี่ห้อ Hotlix (Hotlix Candy)

                

               เป็นผลิตภัณฑ์ลูกกวาดยี่ห้อ Hotlix (เขาบอกว่าผลิตมา 20 ปี) กินเล่นๆ ที่ขายแถวๆ ยุโรป, ญี่ปุ่น(เดาเอา) ดูภาพก็รู้แล้วมั้งว่าข้างในมีออฟชั่นเสริม เป็นไส้แมลงป่อง เวลาคุณได้เลียผ่านเคลือบน้ำตาลไปเรื่อยๆ คุณจะได้ลิ้มรสชาติของแมงป้องตัวอ้วนๆ จนคุณต้องติดใจ เบิ้ลอีกอัน
       ซึ่งนอกจากแมลงป่องแล้วก็ยังมีหลายแบบ เช่น ลูกกวาดตั๊กแตนรสเลมอน ลูกกวาดจิ้งหรีดรสส้ม ลูกกวาดหนอนรสแตงโม เป็นต้น 

อันดับ 8  ปลาร้าสวีเดน(Surstomming)

                

                มันต่างจากปลาร้าไทยตรงไหนนี้ กับปลาร้าสวีเดน เป็นปลา Sill เป็นปลาขนาดใหญ่ นิยมกินในช่วงเทศกาลวันคริสต์มาสของประเทศสวีเดน หมักในดีบุกที่กลิ่นเหม็นมาก โดยใช้แบคทีเรีย Haloanaerobium มาช่วยในการหมัก และยังมีส่วนประกอบอีกมากที่เหม็นไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็นไข่เน่า(ไฮเดรเจนซัลไฟด์), เนยเหลวเหม็นหื่น(กรด Butyric) น้ำส้ม(Acetic)และส่วนประกอบอื่นๆ อีกมากมาย เวลาจะทานก็นำไปใส่ในแซสวิส เอามาทำสลัด, ยำ  หรือจะกินดิบๆ แบบปลาร้าบ้านเราก็ไม่ว่ากัน

อันดับ 7 คูมิส(Kumis)

                

             คูมิสเป็นผลิตภัณฑ์น้ำนมเปรี้ยว ที่ได้จากม้าเพศเมียที่โตเต็มที่ แล้วนำมาหมักแบคทีเรียแลคโตบาซัลลัสและยีสต์และนำมากวน(คล้ายกับวิธีทำเนยเหลว)  ทำให้กลายเป็นกรดนม และแอลกฮอล์......มีคุณสมบัติกินแล้วเหมือนเหล้าอ่อนๆ และเป็นยาถ่ายได้เป็นอย่างดี จบข่าว

อันดับ ไข่เยี่ยวม้า(Century Egg)

                

              ไข่เยี่ยวม้าเป็นอาหารหมักชนิดหนึ่งที่ค่อนข้างเป็นด่าง เป็นอาหารจีนทางภาคใต้ เวลาจะทำก็ใช้ใบชา, ปูนขาว เกลือป่น ขี้เถ้า ฟางข้าว และแกลบนมมาผสมกับน้ำแล้ว มาพอกไข่เป็ด(ไก่ก็ได้) จากนั้นก็นำมาทิ้งไว้หลายวันหลายเดือนประมาณ 40-50 วันก็เป็นอันใช้ได้ การหมักไข่เยี่ยวม้าจะทำให้โปรตีนและ ฟอสโฟไลปิด (phospholipids) บางส่วนในไข่จะสลายตัวทำให้เกิดแอมโมเนีย(ไข่เน่า)และกำมะถันทำให้มีกลิ่นเหม็น ไข่แดงจะมีสีเขียวซีดเหนียวและแข็ง ไข่ขาวจะกลายเป็นสีน้ำตาลไหม้วุ้นโปร่งใส มีรสเล็กน้อย เรียกได้ว่ามันคือ "ไข่เน่า" ดีๆ นี้เอง แม้ประโยชน์ของไข่เยี่ยวมาจะมีมากมาย เช่นบำรุงร่างกาย บำรุงโลหิต แต่บางเจ้าจะใส่ตะกั่วเพื่อควบคุมความเป็นกรดด่างทำให้ไข่ขาวแข็งซึ่งเป้นอันตรายหากคนกินข้าวไป

อันดับ 5 รกมนุษย์(Human Placenta)

                

               รกของมนุษย์หรือคนนี้แหละ เชื่อหรือไม่ว่ารกมนุษย์นั้นสามารถเป็นอาหารได้ ในทางการแพทย์จีนถือว่ารกเด็กนั้นเป็นยาสมุนไพรที่ช่วยบำรุงร่างกาย และแก้ปัญหาเสื่อมสรรถภาพทางเพศในชาย แก้โรคหัวใจ และวัณโรค  ที่อเมริกาและยุโรป  ฮาวาย และบางเกาะ เชื่อว่า ป้องกันภาวะโรคซึมเศร้า ก็อันเนื่องมาจากรกเด็กนั้นอุดมด้วยโปรตีน วิตามิน แคลเซียม ฮอร์โมน และแร่ธาตุต่างๆ มากมาย ในอินเตอร์เน็ตบางแห่งได้นำเสนอสูตรการกินรกเด็กอย่างน่าเอร็ดอร่อยไว้ด้วย วิธีก็ง่ายๆ คือเอาเหล้าผสมหลายชนิดเขย่าและนำรกมนุษย์ดิบๆประมาณ 1/4ถ้วย ใส่น้ำผลไม้ น้ำแข็ง หัวผักกาดแดง ½ ถ้วย ผสมด้วยความเร็วสูง 10 วินาที และดื่ม....โอ้ไม่(ปล. ในอินเตอร์เน็ตมีการขายสารสกัดจากรกเด็กโจ้งแจ้งมาก ในรูปแบบเครื่องสำอาง หรือแบบผงไว้ชงกิน แต่อย. ไม่รับประกันนะ เพราะมันไม่ได้ขึ้นทะเบียน)
               
อันดับ 4 ซุปเลือดดิบ(Raw Blood Soup)

                

                กริ๊ด!!...สยองจังเลยอาหารจานนี้  ซุปเลือดดิบ เป็นอาหารประจำชาติของชาวเวียดนามทางเหนือครับ กินในตอนเช้า ถือกินพร้อมกับเหล้าแอลกอฮอล์ก็ไม่ว่ากันครับ เขาว่ามันมีโปรตีนสูงดี  เป็นอาหารที่โครตทำง่ายมาก แค่เอาเลือดดิบจากเป็ด(บางครั้งก็หมู, นก, ห่าน) ใส่ตู้เย็นให้มันข้นๆ แข็งๆ หยุ่นๆ เหมือนเยลลี่เหนียวๆ  จากนั้นก็โรยท็อปปิ้ง(ของโรยหน้า) เช่นถั่วลิสง, ผัก หรือสมุนไพรอะไรก็ได้ ใส่ไว้บนสุด

                

                นอกจากสยองแล้วมันยังเป็นอาหารที่อันตรายมาก เพราะมันเลือดสัตว์สดๆ นี้ คงมีเชื้อโรค พยาธิต่างๆ มากมายอยู่แล้ว แถม ยิ่งช่วงนี้มีไข้หวัดนก H5N1 ระบาดอยู่ ทำให้อาหารจานนี้ไม่นิยมเหมือนแต่ก่อน

อันดับ 3 ข้าวโพดที่เป็นโรคสมัท(Corn Smut)

                

              โรคสมัทคือ โรคสมัทเรียกอีกอย่างว่า โรคราเขม่าดำ ครับ เป็นโรคสำคัญของข้าวโพด เกิดจากเชื้อรา Ustilago maydis(DC.)Cds แพร่กระจายโดยสปอร์  พบการระบาดทั่วไปในแหล่งปลูกข้าวโพดทั่วโลก โดยอเมริกาและเม็กซิโกหนักสุด จากภาพคงจะเห็นว่าเชื้อโรคจะทำให้ฝักข้าวโพดเป็นเชื้อรา รูปร่างบิดเบี้ยว บวม ฯลฯ ดูยังไงก็มาน่ากิน บ้านเราเห็นแทบลมจับเพราะขาดทุน ให้หมูยังไม่กินเลย แต่สำหรับแดนผู้ดีอย่างอังกฤษไม่เป็นเช่นนี้แน่นอนครับ มันสามารถนำไปทำเป็นอาหารด้วย โดยจะเก็บเกี่ยวในขณะที่เป็นโรคไม่สมบูรณ์(หลังจากที่ปลายข้าวโพดติดเชื้อแล้ว)แล้วถูกนำไปขายในราคาสูง ยิ่งกว่าลิเวอร์พูลซื้อเตอเรสเสียอีก จากนั้นก็นำมันมาปรุงเป็นอาหาร มีการบรรยายด้วยว่า รสชาติเหมือนเห็ด หวาน(เนื่องจากเชื้อราทำปฏิกริยาในระยะแรก ทำให้ข้าวโพดชื้น จนมีรสชาติหวานกว่าข้าวโพดทั่วๆ ไป....มั้ง)

 อันดับ2 ซุปแมงป่อง(Scorpion Soup)

                

                ตอนแรกเห็นภาพนึกว่าซุปแมลงปีกแข็งอะไรสักอย่าง มาดูชื่ออาหารอีกทีก็ เออ....แมงป่องเรอะ เป็นอาหารของประเทศจีนทางตอนใต้ มีสรรพคุณบรรเทาโรคปวดตามกล้ามเนื้อ ในเว็บที่มาไม่ได้บอกวิธีทำแบบละเอียดหรอกครับ ต้องอีกเว็บ เขาบรรยายว่า ขั้นแรกให้หาแมลงป่องที่ไหนก็ได้ เอาประมาณสัก 30-40 ตัวล้างให้สะอาด(ในขณะที่มันยังมีชีวิตอยู่) ต้มในน้ำเดือดลงในหม้อ จากนั้นใส่กระเทียมหัวใหญ่บด 1 ถ้วย, หมูสด 125 กรัม, รากขิงสดสับประมาณ 3 ขีด, แครอทหั่นบางๆ, สมุนไพรต่างๆ  เกลือและพริกไทย  ต้ม 40 นาที กินได้เลย
                 หลายๆ คนสงสัยว่าแล้วพิษที่หางแมงป่องนี้ไม่เอาออกก่อนเรอะ กินไปจะอันตรายไหมนั้น คำตอบก็ไม่จำเป็นครับ พอพิษพวกนั้นโดนความร้อนมันก็สลายเปลี่ยนเป็นรูปที่ไม่มีอันตรายสำหรับคนกินแล้ว เขาบอกว่าอร่อยเหมือนซุปไก่...(ไก่จีนคงรสชาติเหมือนแมงป่อง)

อันดับ 1 ตัวอ่อนในครรภ์มนุษย์(Human Fetus)

                

                อันดับ 1 ในเว็บที่เอามาไม่เท่าไหร่ เขียนไปแล้ว แค่เนยแข็งหมัดกระโดด แต่มาดูอันดับ 0 ข้างล่างแทบจะอ้วก คนกินคนเจ้าขาเอ้ย  เอามาย่างแล้วกินสดๆ เลยเรอะนั้น แน่นอนว่ามันยังเป็นที่ถกเกียงถึงจิตสามัญสำนึกว่าควรยอมรับว่ามันใช่อาหารหรือเปล่า แน่นอนว่าประวัติศาสตร์มนุษย์นั้นมีรายงานคนกินคนในทั่วทุกมุมโลกแล้วไม่แปลก แต่ส่วนมากมันกินเพราะมันโรคจิตนี้น่าไม่ใช้อาหาร แต่สำหรับจีนแล้ว เชื่อว่าตัวอ่อนในครรภ์มนุษย์คือสุดยอดยายุวัฒนะ

                

                แม้มันจะผิดกฎหมาย แต่ขึ้นชื่อว่าจีนแล้วกฎหมายมีไว้แหกครับ ขอให้มีเงินอะไรก็หาได้ เมนูที่เรารู้จักกันดีคือการเอามาทำซุป ทารกที่มาทำนั้นส่วนมากจะเอาแบบแท้ง แม่ใจแตกเอามาขาย นำไปทำอาหาร ใส่เนื้อหมู สมุนไพรหน่อย แล้วกินเคี้ยวทั้งกระดูกอ่อนๆ เคี้ยวกรุบๆ อยู่ปาก(ภาพข้างบนที่เห็นนี้เป็นภาพปล่อยทางอินเตอร์เน็ตนะครับ เป็นภาพของศิลปินชื่อ Zhe Yu กำลังกินตัวอ่อนมนุษย์ย่าง แต่เจ้าตัวออกมาโวยครับ เขาบอกว่านี้ไม่ใช้ของจริง มันเป็นตุ๊กตานะ ที่เขากินเป็นเป็ด ก็...แล้วแต่วิจารณ์ของเราละกันว่าเป็นของจริงหรือหลอก)

วันศุกร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2555

สาธิตการทำ macaron แบบง่ายๆ

ไข่ขาว 75 กรัม (แยกไข่ขาวเอาไว้แล้วเก็บเข้าตู้เย็นอย่างน้อย 2-4 วัน)
น้ำตาลทรายละเอียด 50 กรัม
น้ำตาลไอซิ่ง 135 กรัม
อัลมอนต์มีล 90 กรัม 
เกลือเล็กน้อย
สีตามชอบ




ไข่หลังจากที่แยกเอาไว้ 2 วัน (ถ้าเอาให้ชัวร์ 3-4 วันดีกว่าเนอะ )


            



น้ำตาลไอซิ่งกับอัลมอนต์มีลชั่งรวมกันไปเลย (ไม่ต้องล้างเยอะ )
อัลมอนต์มีลของเราวันนี้ชื้นมากเราเลยเอาไปอบที่ 60 องศาเซลเซียสประมาณ 10 นาทีไล่ความชื้นซะหน่อย...
วิธีสังเกตุ...คือเอามือบี้ๆแล้วติดเป็นก้อนเลยค่ะแสดงว่าชื้นแน่นอน


          

น้ำตาลทรายเม็ดละเอียด

       
          


สีตามชอบ...เราใช้สีเจล สีฝุ่น 
สีน้ำไม่ควรใช้ค่ะเพราะจะเป็นการเพิ่มความชื้นแต่ถ้าไม่มีสีเจล สีฝุ่น 
สีน้ำก็ใช้ได้ค่ะแต่อย่าใส่เยอะเอาแค่หยดสองหยดพอ


          


วิธีทำ


เอาอัลมอนต์มีลกับน้ำตาลไอซิ่งไปปั่นให้ละเอียด

ปั่นเสร็จใช้กระชอนตาห่างๆร่อนซักสองครั้งใส่เกลือไปจี๊ดนึง



                 


ตีไข่ขาว..ตีให้เป็นฟองแบบนี้ค่ะ

ตีสปีดสูงค่อยๆใส่น้ำตาลจนหมดจนได้ยอดอ่อน


             
























ใส่สีได้เลย...วันนี้จะทำสีเหลือง แต่ด้วยความที่เวลาอบสีเหลืองทีไรหน้าจะด่างตลอดเราเลยขอเอาสีน้ำตาลใส่ลงไปนิดนึง 
(แอบเอาสีฝุ่นทองใส่ไปด้วย ลองดู )เพื่อให้เป็นสีเหลืองแบบนวลๆ  

   


เอาส่วนของอัลมอนต์มีลกับไอซิ่งที่ร่อนแล้วผสมลงไปแบ่งใส่ซักสามรอบเอา spatula fold เร็วๆค่ะช่วงแรกๆ


วิธีการก็เอา spatula fold ตามเข็มนาฬิกาแล้วหมุนกะละมังไปในตัว
ช้อนเอาส่วนก้นขึ้น ลง เป็นวงกลมเร็วๆ ขั้นต้องนี้เราจะ break mass คือเราจะทำลายฟองอากาศหยาบๆของไข่ขาวจนผสมให้เนียน 
พอเริ่มเข้ากันก็เอาส่วนผสมที่เหลือใส่ให้หมดตะล่อมไปนับในใจไปด้วยว่ากี่ครั้ง...
ตะล่อมน้อยดีกว่าตะล่อมมากค่ะ
ตะล่อมน้อยไป...ยังเอามาตะล่อมเพิ่มได้
ตะล่อมมากส่วนผสมเหลว....ใช้ไม่ได้..ทิ้งลูกเดียว ฮ่า





พอ fold เกือบเข้าที่ถ้าใครมีที่ปาดเค้กแบบนี้เอามาใช้เลยค่ะ
การใช้ที่ปาดเค้กแบบนี้ทำให้ไม่ over mix ค่ะเพราะใหญ่แต่ถ้าใครมีพายใหญ่ก็ใช้ได้ไม่ว่ากัน
เอามา fold จนขึ้นเงาสวยงามส่วนผสมไหลเหมือน magma ถึงช่วงนี้ค่อยๆ fold จนส่วนผสมเป็นเงางาม
ฝรั่งเค้าเรียกขั้นตอนนี้ว่า macaronage 

    
     

เอาใส่ถุงเตรียมบีบ


                       

  
จะโรยงาก้อได้ค่ะ
พักผิวประมาณ 30 นาทีถึง 1 ชั้วโมง...ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศของเราแห้งเร็ว 30 นาทีส่งอบโลดที่ 150 องศาแบบมีพัดลม ไฟบน-ล่าง....หลังจาก 5 นาทีผ่านไปเอาไม้แง้มประตูเตาอบไล่ความชื้นแล้วอบต่ออีก 8 นาที....
เราอบรวมทั้งหมด 13 นาที...ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาดของมาการอนและเตาอบของแต่ล่ะบ้านด้วยน๊าสังเกตุกันเอาเองเราลองมาหลายสูตร หลายแบบ แบบนี้เวิร์คสุดสำหรับเรา 

   

บีบไส้...วันนี้ทำสองไส้ มีเลม่อนเปรี้ยวจี๊ดจ๊าดกินแล้วหายง่วง กับ ราสเบอรี่บัตเตอร์ครีม