วันอาทิตย์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2557

โรคคลั่งผอม

    วาเลเรีย เลวิติน

    วาเลเรีย เลวิติน


                  ในยุคที่นางแบบหุ่นผอมกะหร่องเป็นที่นิยมและพบเห็นกันเกลื่อนบนแคทวอล์คทั่วโลก ปฏิเสธไม่ได้เลยว่านั่นได้กลายเป็นต้นแบบให้กับหญิงสาวหลาย ๆ คนในการลดหุ่นเพื่อมีหุ่นที่ผอมบางเหมือนนางแบบเหล่านั้น เพราะคิดว่าสวย ดูดี เป็นที่ยอมรับ และอาจปูทางให้พวกเธอได้ก้าวเข้าสู่วงการนางแบบได้ แต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า ปัจจุบันเทรนด์คลั่งผอมได้ทำให้หญิงสาวหลายคนอยู่ในภาวะน่าเป็นห่วงและอันตรายมาก เพราะพวกเธอถึงขั้นติดต่อขอเคล็ดลับลดน้ำหนักจากผู้ป่วยโรคอะนอเร็กเซีย เพื่อให้มีหุ่นผอมแห้งสมใจเลยทีเดียว
                  "ฉันจะไม่สอนให้เธอเดินไปหาความตายเด็ดขาด" นี่เป็นคำพูด วาเลเรีย เลวิติน สาวรัสเซียที่ป่วยโรคด้วยอะนอเร็กเซีย ด้วยอายุ 39 ปี สูง 172 เซนติเมตร แต่กลับหนักแค่ 26.8 กิโลกรัมเท่านั้น เธอตัดสินใจไม่ตอบอีเมลหญิงสาวมากมายที่ส่งเข้ามาถามถึงเคล็ดลับในการลดน้ำหนัก ด้วยกลัวสาว ๆ พวกนั้นจะคลั่งลดน้ำหนักจนมีสภาพเหมือนกับเธอในทุกวันนี้ 

                  วาเลเรีย เลวิติน ผู้ซึ่งปัจจุบันมีร่างกายผอมแห้งในสภาพหนังเหี่ยว ๆ หุ้มกระดูกเท่านั้น ใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศโมนาโก เธอได้รับอีเมลหลายฉบับจากหญิงสาวซึ่งส่วนใหญ่อายุราว ๆ 20 กว่าปี ซึ่งมองเธอเป็นแรงบันดาลใจในการลดน้ำหนัก และขอร้องให้เธอสอนวิธีที่จะลดน้ำหนักได้เยอะ ๆ บ้าง แต่เธอก็ตัดสินใจไม่ตอบข้อความเหล่านั้นเลยแม้แต่ฉบับเดียว เธอไม่ต้องการให้ผู้หญิงคนอื่นมาตกอยู่ในสภาพเช่นเดียวกับเธอ 

                  "ฉันต้องการให้คนอื่น ๆ มีความสุข สุขภาพดี และใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย โรคอะนอเร็กเซียทำให้ฉันโดดเดี่ยว หน้าตาไม่น่ามอง และเป็นที่หวาดกลัวแก่ผู้คนรอบข้าง" วาเลเรียกล่าว ในรายงานของเว็บไซต์เดอะซัน และยังเสริมอีกว่า ความฝันของเธอคืออยากจะมีครอบครัว แต่มันก็เป็นไปได้ยาก เพราะนั่นหมายถึงเธอจะต้องพบอุปสรรคบางประการในการคบหากัน อย่างไปกินข้าวด้วยกัน หรือทำกิจกรรมอื่น ๆ ร่วมกัน 

                  ในวัยเด็ก แม่ของวาเลเรียจะคอยดูแลให้เธอกินอาหารที่ดี และกินในปริมาณที่เหมาะสม เนื่องจากเธอเป็นลูกเพียงคนเดียว แม่จึงอยากให้เธอเป็นเด็กที่เพอร์เฟคท์ที่สุด และกลัวว่าเธอจะอ้วนฉุเหมือนญาติวัยเด็กคนอื่น ๆ นั่นเป็นจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ที่ทำให้วาเลเรียฝังใจเรื่องความอ้วน 

    วาเลเรีย เลวิติน

                  ส่วนอาการของโรคอะนอเร็กเซียนั้น ค่อย ๆ พัฒนาขึ้นเมื่อตอนเธอเป็นวัยรุ่น ในวัย 16 ปี วาเลเรียหนัก 63.5 กิโลกรัม ครอบครัวของเธอย้ายบ้านไปอยู่ที่อเมริกา ที่ซึ่งเธอบอกว่าความยากลำบากในการปรับตัวทำให้เธอเริ่มลดน้ำหนัก หวังเพียงว่าถ้าเธอผอมลงก็จะเป็นที่ยอมรับของเพื่อน ๆ มากขึ้น 

                  วาเลเรียเริ่มงดอาหารจำพวกแป้ง และน้ำตาล น้ำหนักของเธอเริ่มลดลงบ้าง และเธอก็พบว่า เธอรู้สึกดีกับตัวเองมากหากสามารถทำให้น้ำหนักลดลงได้ แต่เธอก็ยังถูกเสียดสีจากเพื่อน ๆ เรื่องรูปร่างที่ใหญ่อยู่ดี เธอตั้งหน้าตั้งตาลดน้ำหนักลงอีกนับจากนั้นเป็นต้นมา 
                  เมื่ออายุ 23 ปี น้ำหนักเธอลดลงไปมาก เสื้อผ้าที่เคยใส่จากไซส์ 12 ลดลงเหลือไซส์ 6 วาเลเรียตัดสินใจเข้าสมัครงานกับโมเดลลิ่ง ที่ซึ่งทำให้ความอ่อนไหวเรื่องน้ำหนักและรูปร่างของเธอยิ่งดิ่งลงเหว เมื่อเธอได้รับคำตอบกลับมาว่า รูปร่างของเธอยังถือว่า "อ้วนเกินไป" ต่อการเป็นนางแบบ

                  คำตอบที่ได้รับ ทำให้อาการอะนอเร็กเซียของวาเลเรียยิ่งแย่ลง เธอยิ่งควบคุมการกินอาหารของตัวเองอย่างหนัก จนอีกหนึ่งปีถัดมา น้ำหนักของเธอลดฮวบฮาบจนเหลือแค่ 38 กิโลกรัมเท่านั้น เธอสมัครเพื่อขอเป็นนักบัลเลต์อย่างที่ใจฝัน  แต่แทนที่ทุกอย่างจะไปได้สวยอย่างที่เธอหวังไว้ เธอกลับถูกปฏิเสธกลับมา ด้วยทีมเต้นกลัวว่า รูปร่างที่ผอมแห้งเช่นนี้อาจทำให้ตัวเองบาดเจ็บได้ขณะฝึกซ้อม ความผิดหวังครั้งล่าสุดนี้เอง ที่ทำให้วาเลเรียเริ่มตระหนักถึงอาการป่วยของตนเอง ช่วง 10 ปีหลังจากนั้น เธอจึงตระเวนพบหมอกว่า 30 รายเพื่อทำการบำบัด แต่ก็ไม่มีใครสามารถทำให้น้ำหนักตัวของเธอเพิ่มขึ้นมาได้สักเท่าไหร่เลย เพราะร่างกายของไม่คุ้นชินต่ออาหารหลาย ๆ อย่าง แม้เธอจะพยายามกินเข้าไป แต่ร่างกายก็กลับไม่ยอมรับเสียแล้ว 

                  "ทุกวันนี้ร่างกายฉันบอบบางมาก ฉันต้องรอบคอบให้มากไม่ว่าจะเป็นเรื่องเดินทางไปไหน หรือทำกิจกรรมอะไร"

                  อาหารในทุก ๆ วันนี้ของ วาเลเรีย ประกอบด้วยผลไม้ ผัก แล้วก็เนื้ออีกเล็กน้อย ควบคู่กับการรับประทานอาหารเสริม เพื่อรักษาสมดุลให้การทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกายให้มากที่สุดเท่านั้น 

                  "โรคอะนอเร็กเซียลึกซึ้งกว่าที่คุณคิด คุณไม่สามารถบังคับตัวเองให้กินอาหารเพื่อให้ร่างกายดีขึ้นได้ มันต้องเริ่มจากคุณรู้สึกดีกับตัวเองก่อน แล้วคุณก็จะรู้สึกอยากอาหารตามมา" วาเลเรียกล่าว และเสริมว่า เธอมีแผนว่าจะเดินทางกลับไปยังบ้านเกิดที่รัสเซีย ด้วยความหวังว่าที่นั่นจะทำให้เธอรู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้น และจะทำให้ทุก ๆ อย่างดีขึ้น

                  "ฉันจะต่อสู้กับโรคอะนอเร็กเซีย ที่ผ่านมาฉันไม่เคยยอมแพ้อะไรง่าย ๆ และครั้งนี้ฉันก็จะไม่ยอมแพ้มันด้วยเช่นกัน ฉันจะต้องชนะ เพื่อให้หนึ่งชีวิตที่ฉันได้เกิดมานั้นไม่สูญเปล่า"

                  วาเลเรีย เป็นผู้ป่วยโรคคลั่งผอมอีกหนึ่งคนที่ต้องการจะเอาชนะโรคอะนอเร็กเซียให้ได้ และเธอก็อยากให้เรื่องราวของเธอเป็นอุทาหรณ์เตือนใจแก่สาว ๆ ที่อยากผอมคนอื่น ๆ ว่าอย่าเดินตามทางที่เธอเคยเดินมาอีกเลย มันไม่ได้นำไปสู่ความสุขในการใช้ชีวิตเลยแม้แต่นิดเดียว 

Birthday Cake Cake Pops

                                                      IMG_7806
1 Box Duncan Hines Yellow Cake Mix + Ingredients Listed On Box
8oz. Duncan Hines Frosting Creation Starter Icing (half can)
Milk Chocolate Melting Chocolate
White Melting Chocolate
Lollipop Sticks
Sprinkles
Candles
Makes 18 cakes pops.
Step 1: Bake cake.
Step 2: Crumble cake into food processor and process until the cake is tiny little crumbs.
IMG_7394-2
Step 3: Add in 8oz (half can) of Duncan Hines Frosting Creations Starter Frosting© blend until completely combined. Move icing/cake mixture into a bowl work together with your hands just a bit and form a ball. Place in the fridge for 20 minutes to chill.
IMG_7395-2
Step 3: Roll and cut cake pop circles.
Here’s where I REALLY strayed from the average cake pop method. I never rolled the little balls and then shaped each one. I simply just rolled between two pieces of wax paper. Then I just used my circle cutter and cut out two circles for every cake pop. You can use the old method or try this out…but this worked for me. And made by brain hurt a whole lot less. I didn’t have a guide that was thick enough so I just eyed it…but my dough was about 1/2in thick. The circle cutter I used was 1.5 inches from Wilton’s circle cutting set.
Step 3: Roll and cut cake pop circles and place on wax paper. (you can see the other cake pops I made in the photos as well).
IMG_7400-2
IMG_7401-2
IMG_7418-2
Step 4: Melt a little bit of your milk chocolate melting chocolate. If your using a chocolate melter like I do, you can go ahead and melt it all now. If you need more info on melting chocolate or my process you can find that in Melting Chocolate 101. (pst) mine is white because I was still working with the other cake pops, sry!)
Start by dipping a half inch of your stick in the chocolate…then spread it around between the two circle layers of cake pop. This will “glue” your cake layers together…make sure they are nice and “glued”! Then dip your stick again and push half way into the two laters.
IMG_7433-2
IMG_7445
Step 4: PLace them in the freezer for a few minutes to let the chocolate firm. You can lay them on their side if needed. While they are chillin go ahead and trim up your candles.
IMG_7489-2
Step 5: Pull the cake pops and let them set on the counter for a few minutes. You don’t want to cover a freezing cold cake pop with warm chocolate. While you are waiting get your milk chocolate ready and supplies organized.
IMG_7492-2
Step 5: Either dip or spoon chocolate over your cake pop. Then gently tap and swirl till the excess is off. I always spoon chocolate over…much less chance of the cake pop sliding off! I also keep my cake pop tilted up on the side of my melter while tapping. Then prop up to dry…I’m using my new KC Bakes stand. Good bye styrofoam!
IMG_7499-2
Once all your cake pops are covered in milk chocolate it’s time to melt your white chocolate. If you have extra chocolate don’t waste it! Check out how to save that extra milk chocolate here.
Step 6: Once your white chocolate is melted, pour a small amount into a plastic bag with a small round tip. You will use this to make the “dripping” icing on top.
IMG_7483-2
Step 7: Gently dip your cake pop into the white chocolate. Just BARELY dip it…you don’t want it running down on it’s own. It’s not pretty! lol.
IMG_7501-2
Step 8: Right away while the top is still wet use the white chocolate in the pipping bag and gently pipe the drips on. The best way I found to do this was apply just a bit of pressure then move the tip over a bit…apply more pressure…more it over a bit more. Each time letting the icing drip just a bit and allowing space between each “drip”.
IMG_7504
Step 9: While icing is wet gently push the candy in a little bit and sprinkle with sprinkles.Let dry.
IMG_8006-2

IMG_7946 IMG_7921
IMG_7997

วันพุธที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2557

นกที่หายากกกก

หลากลีลา “นกหายากที่สุดในโลก”
ภาพนกช้อนหอยหงอน (Asian crested ibis) หรือ นิปโปเนีย นิปปอน (Nipponia nippon) ซึ่งได้รับรางวัลชนะเลิศการประกวดภาพถ่ายในหมวดนกชนิดใกล้สูญพันธุ์ เมื่อก่อนเคยมีอยู่ทั่วรัสเซีย ญี่ปุ่น และจีน แต่ปัจจุบันประชากรของนกชนิดนี้ได้ลดลงเหลือราว 250 ตัว ในมณฑลส่านซีของจีนเท่านั้น เนชันนัลจีโอกราฟิกอ้างข้อมูลจากเว็บไซต์โครงการนกหายากของโลกว่า ปัจจัยคุกคามนกชนิดนี้อาจมาจากการทำเกษตรกรรม ซึ่งลดปริมาณอาหารของนกชนิดนี้: ภาพโดย เฉวียน หมิน หลี (Quan Min Li)
      
หลากลีลา “นกหายากที่สุดในโลก”
ภาพเป็ดปากยาวข้างลาย (scaly-sided merganser) 2 ตัวขณะแล่นไปแล่นไปบนน้ำ เป็นภาพรองชนะเลิศอันดับ 5 ในหมวดนกชนิดใกล้สูญพันธุ์ ซึ่งการสูญเสียที่อยู่อาศัยและการล่าอย่างผิดกฎหมายได้ลดประชากรนกชนิดนี้เหลืออยู่ในรัสเซียและจีนเพียงแค่ประมาณ 2,500 ตัว: ภาพโดย มาร์ติน เฮล (Martin Hale)
      
หลากลีลา “นกหายากที่สุดในโลก”
ภาพนกฮูกป่า (forest owlet) ในอินเดียตอนกลาง ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 4 ในหมวดนกที่วิกฤตต่อการสูญพันธุ์หรือสูญพันธุ์จากธรรมชาติ นกชนิดนี้อาศัยอยู่ในป่าซึ่งถูกบุกรุกอย่างหนักจนป่าถูกแบ่งออกเป็นผืนเล็กผืนน้อย และถิ่นที่อยู่ของนกชนิดนี้ยังคงถูกบุกรุกอย่างต่อเนื่อง: ภาพโดย เจย์เอช เค.โจชิ (Jayesh K. Joshi)
      
หลากลีลา “นกหายากที่สุดในโลก”
ภาพนกกระเรียนมงกุฎแดง (Red-crowned crane) เป็นภาพรองชนะเลิศในหมวดนกชนิดใกล้สูญพันธุ์ โดยนกกระเรียนในภาพนี้กำลังแสดงท่าทางเกี้ยวพาราสีระหว่างหาคู่ แม้ว่าประชากรของนกชนิดนี้ในญี่ปุ่นจะยังไม่เปลี่ยนแปลง แต่ประชากรทั่วเอเชียซึ่งเป็นพื้นส่วนใหญ่กำลังลดลงไปตามถิ่นอาศัยที่ลดลง รวมถึงการสูญเสียพื้นที่ชุ่มน้ำไปเพื่อการเกษตรและการพัฒนา: ภาพโดย ฮัวจิน ซัน (Huajin Sun)
      
หลากลีลา “นกหายากที่สุดในโลก”
ภาพนกแก้วท้องส้ม (Orange-Bellied Parrot) ที่ชนะเลิศในหมวดนกอพยพที่วิกฤตต่อการสูญพันธุ์ นกแก้วพันธุ์เล็กชนิดนี้จะผสมพันธุ์เฉพาะทางตะวันตกเฉียงใต้ของทาสมาเนียเท่านั้น จากนั้นจะอพยพไปทางตะวันออกเฉียงใต้ของออสเตรเลียในช่วงฤดูหนาว ซึ่งถิ่นที่อยู่ระหว่างหนีหนาวของนกชนิดนี้ถูกบุกรุกจากการเกษตรและการพัฒนา ประมาณว่าเหลือนกแก้วท้องส้มอยู่ในธรรมชาติน้อยกว่า 150 ตัว: ภาพโดย เดวิด บอยล์ (David Boyle)
      
หลากลีลา “นกหายากที่สุดในโลก”
ภาพนกแก้วคาคาโป (Kakapo) ซึ่งชนะเลิศการประกวดในหมวดนกที่วิกฤตต่อการสูญพันธุ์หรือสูญพันธุ์จากธรรมชาติ นกแก้วขนาดใหญ่ที่บินไม่ได้นี้พบได้ในนิวซีแลนด์เท่านั้น และเหลืออยู่ในธรรมชาติเพียง 124 ตัว โดยนกชนิดนี้ถูกกำจัดไปอย่างรวดเร็วจากนักล่าที่เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เช่น แมวป่า เป็นต้น: ภาพโดย เชน แมคอินน์ส (Shane McInnes)
      
หลากลีลา “นกหายากที่สุดในโลก”
ภาพนกฮัมมิงเบิร์ดมรกตฮอนดูรัส (Honduran Emerald) บนกิ่งไม้ ได้รับรางวัลรองชนะเลิศในหมวดนกที่วิกฤตต่อการสูญพันธุ์หรือสูญพันธุ์จากธรรมชาติ พบนกชนิดนี้ได้เฉพาะในฮอนดูรัส โดยประชากรนกชนิดนี้กำลังลดลงเนื่องจากการสูญเสียถิ่นที่อยู่: ภาพโดย โรเบิร์ต อี.ไฮแมน (Robert E. Hyman )
      
หลากลีลา “นกหายากที่สุดในโลก”
ภาพนกปาลิลา (Palila) ในฮาวาย ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 6 ในหมวดนกที่วิกฤตต่อการสูญพันธุ์หรือสูญพันธุ์จากธรรมชาติ ปัจจัยจากการสูญเสียถิ่นที่อยู่ การล่าโดยสัตว์ตระกูลแมวและความแห้งแล้งนำไปสู่การลดลงของประชากรนกชนิดนี้ในฮาวาย คาดว่าในอีก 14 ปีข้างหน้าจำนวนนกชนิดนี้จะลดลงถึง 97% : ภาพโดย อีริค เอ.แวนเดอร์เวิร์ฟ (Eric A. VanderWerf)
      
หลากลีลา “นกหายากที่สุดในโลก”
ภาพนกโจรสลัดเกาะคริสต์มาส (Christmas Island Frigatebird) ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 3 ในหมวดนกที่วิกฤตต่อการสูญพันธุ์หรือสูญพันธุ์จากธรรมชาติ โดยพบนกชนิดนี้ได้เฉพาะบนเกาะคริสต์มาส (Christmas Island) ของออสเตรเลีย และนกชนิดกำลังหายไปจากเกาะเนื่องจากการสูญเสียที่อยู่อาศัย การทำเหมืองฟอสเฟต มลพิษทางทะเล การทำประมงเกินขนาด และอีกหลายสาเหตุ: ภาพโดย เดวิด บอยล์ (David Boyle)
      
หลากลีลา “นกหายากที่สุดในโลก”
เป็ดกินปลาบราซิล (Brazilian Merganser) พร้อมกับลูกเป็ดตัวเล็กๆ เป็นภาพที่ได้รับรางวัลรองชนะเลิศในหมวดนกที่วิกฤตต่อการสูญพันธุ์หรือสูญพันธุ์จากธรรมชาติ ซึ่งภาพนี้แสดงถึงความหวังต่อการอยู่รอดของสปีชีส์นี้ และชี้ว่าสถานการณ์ของเป็ดกินปลาบราซิลดีขึ้นกว่าที่คิดไว้: ภาพโดย ซาวิโอ เฟรียร์ บรูโน (Savio Freire Bruno)
      
หลากลีลา “นกหายากที่สุดในโลก”
ภาพนกบัสตาร์ดใหญ่อินเดีย (Great Indian Bustard) ขณะบินได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 4 ในหมวดนกชนิดใกล้สูญพันธุ์หรือไม่มีข้อมูลไม่เพียงพอ ซึ่งการล่าเพื่อเป็นกีฬาและอาหารในอินเดียทำให้นกชนิดนี้เสี่ยงสูญพันธุ์: ภาพโดย ซาบา บาร์คอคซี (Csaba Barkoczi)
      
หลากลีลา “นกหายากที่สุดในโลก”
ภาพ นกฮัมมิงเบิร์ดหางติ่ง (Marvellous Spatuletail) ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 3 ในหมวดนกชนิดใกล้สูญพันธุ์หรือไม่มีข้อมูลไม่เพียงพอ ประมาณกันว่าเหลือนกชนิดนี้ไม่ถึงพันตัว และการลดลงของประชากรนกสวยงามนี้เป็นผลจากการตัดไม้ทำลายป่าเพื่อปลูกกัญชา และกาแฟ : ภาพโดย แดเนียล โรสเอนเกรน (Daniel Rosengren) ภาพประกอบทั้งหมดจากเนชันนัลจีโอกราฟิก