วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

โรงเรียน เลอ โรซีย์ โรงเรียนที่แพงที่สุดในโลก


โรงเรียน
โรงเรียน “เลอ โรซีย์ (Le Rosey)” ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็น “ โรงเรียนที่แพงที่สุดในโลก ” โดยมีอัตราค่าเล่าเรียนสูงถึงปีละ $113,000 หรือเกือบ 3.6 ล้านบาท
สวิตเซอร์แลนด์ เป็นประเทศที่มี โรงเรียน เอกชนแพง เป็นอันดับต้นๆ ของโลกหลายแห่ง และมี โรงเรียน เอกชน แบบกินนอนหรือ โรงเรียน ประจำ 3 แห่งที่มีค่าเล่าเรียนสูงกว่า $100,000 (กว่า 3.1 ล้านบาท) ต่อปี หนึ่งในนั้นก็คือ  ” เลอ โรซีย์ (Le Rosey) ” ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น “ สคูล ออฟ คิงส์ (School of Kings)
โรงเรียน
“เลอ โรซีย์” เป็น โรงเรียน เอกชนประเภทกินนอนที่เก่าแก่และใหญ่สุดในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ทั้งยังเป็นหนึ่งในโรงเรียน เอกชนที่ได้รับการยอมรับนับถือมากที่สุดในโลก โรงเรียน ดังกล่าวก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1880 (พ.ศ. 2423) บนที่ตั้งของปราสาทสมัยศตวรรษที่ 14 ริมทะเลสาบเจนีวา  ที่มีชื่อว่า ”ชาโต ดู โรซีย์”  ซึ่งตั้งอยู่ในรัฐโว และมีเนื้อที่กว้างขวางมากถึง 28 เฮคเตอร์ (175 ไร่)
“เลอ โรซีย์” เป็น โรงเรียน ประจำแห่งเดียวในโลกที่มีการย้ายสถานที่เรียนตามฤดูกาล โดยในช่วงฤดูใบไม้ผลิถึงฤดูใบไม้ร่วง จะเปิดทำการเรียนการสอนที่ปราสาท ”ชาโต ดู โรซีย์” (อยู่ระหว่างกรุงเจนีวาและเมืองโลซาน)ส่วนในช่วงฤดูหนาว (มกราคม-มีนาคม) จะย้ายไปเรียนที่เมืองสกีรีสอร์ท “สตาด (Gstaad)” ในรัฐเบิร์น
โรงเรียน
          โรงเรียนที่แพงที่สุดในโลก แห่งนี้เป็นศูนย์รวมของลูกเศรษฐี ดารานักร้อง คนดัง และเหล่าเชื้อพระวงศ์จากทั่วโลก  แม้แต่ อากา ข่าน, พระเจ้าอัลเบิร์ตที่ 2 แห่งเบลเยี่ยม, เจ้าชายเรเนียร์ แห่งโมนาโก, พระเจ้าฟูอัดที่ 2 แห่งอียิปต์ ตลอดจนเหล่าเชื้อพระวงศ์ในแถบตะวันออกกลาง ก็เคยเป็นศิษย์เก่าของที่นี่ แต่ใช่ว่ามีเงินแล้วจะเข้าเรียนได้ทันที เพราะ โรงเรียน แห่งนี้จะรับนักเรียนที่มาจากประเทศเดียวกัน (หรือมาจากกลุ่มประเทศที่ใช้ภาษาเดียวกัน) ไม่เกินร้อยละ 10  เพื่อให้เป็น โรงเรียน นานาชาติที่มีวัฒนธรรมหลากหลายอย่างแท้จริง
โรงเรียน
โรงเรียน แห่งนี้มีนักเรียนทั้งสิ้นประมาณ 400 คน จาก 58 ประเทศทั่วโลก และมีเจ้าหน้าที่ทั้งหมด 160 คน (ในจำนวนนี้เป็นครู 90 คน) นักเรียนของที่นี่มีอายุตั้งแต่ 7-18 ปี โดยแต่ละชั้นจะมีนักเรียนไม่ถึง 10 คน และแบ่งการเรียนการสอนออกเป็น 2 ภาษาหลักๆ คือ ภาษาอังกฤษและฝรั่งเศส แต่ก็มีภาษาอื่นๆ ให้เลือกเรียนเพิ่มเติมอีกมากกว่า 20 ภาษา
นอกจากเนื้อหาด้านวิชาการแล้ว โรงเรียนที่แพงที่สุดในโลก แห่งนี้ยังมีสปอร์ตคลับที่สอนกีฬาชนิดต่างๆ อาทิ กอล์ฟ, เทนนิส, ยิงปืน, ยิงธนู, ขี่ม้า, พายเรือ, ดำน้ำ, สกี, เต้นรำ  ฯลฯ พร้อมทริปท่องเที่ยว ชมกีฬา และการแสดงศิลปวัฒนธรรมในประเทศแถบยุโรป ตลอดจนทัวร์วัฒนธรรม เยี่ยมชม มหาวิทยาลัย และทริปอาสาสมัครในประเทศอื่นๆ ที่อยู่นอกทวีปยุโรปอีกด้วย โรงเรียน
โรงเรียน
โรงเรียน
โรงเรียน
โรงเรียน
โรงเรียน

วันเสาร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เต็กกอ





                                         


นายเต็กกอ เป็นคนจังหวัดนครปฐม ปัจจุบันอายุ 60 ปีเศษ บิดามารดา เป็นคนจีน ประกอบอาชีพกิจการโต๊ะจีน  
ได้ถ่ายทอดวิชาการปรุงอาหารให้กับเต็กกอตั้งแต่สมัยยังเต็กกอยังเด็ก ประกอบกับอุปนิสัยส่วนตัว เป็นคนขยัน หมั่นเพียร มีความอดทน มีความทะเยอทะยาน ต้องการความก้าวหน้า  มีความคิดที่ไม่เหมือนกับบุคคลอื่น ๆ ทั่วไป จึงสามารถรับ
วิชาการประกอบอาหารจากบิดามารดาได้ทุกเม็ด ไม่มีหลุดเลย และได้ประยุกต์ คิดค้น ลูกชิ้นหมู ภายใต้ชื่อ ลูกชิ้นเต็กกอ จนมีชื่อเสียงกระฉ่อนทุกวันนี้ และมีสาขาทั่วประเทศ และนอกเหนือจากการประกอบอาหารแล้ว ยังสามารถสร้างครอบครัวขนาดใหญ่ภายใต้ภรรยา 7คน ลูก 21คน ซึ่งเป็นที่ทราบกันทั่วและเป็นเอกลักษณ์ เมื่อมีการกล่าวถึงชื่อ เต็กกอ ทุกคนจะนึกถึงภรรยามาก ๆ ผู้ชายก็จะอิจฉาส่วนผู้หญิงก็หมั่นใส้และแปลกใจในการบริหารเวลาและความสามัคคี ไม่เฉพาะในประเทศไทยที่ทราบ ต่างประเทศ ก็ทราบเป็นจำนวนมาก จึงได้ทาบทามให้ถ่ายถอดความรู้ในเรื่องการบริหารครอบครัวใหญ่และคนจำนวนมาก 
โดยนิสัยส่วนตัว คุณเต็กกอเป็นบุคคลที่ชอบคิดค้นสิ่งใหม่ ๆ และแปลกกว่าบุคคลอื่นเสมอ และ 2 ปีที่ผ่านมานี้ 
หลาย ๆ คนอาจยังไม่ทราบว่าคุณเต็กกอ ได้พบสิ่งประหลาดในสวนของตนเอง ซึ่งเป็นมะม่วงพันธุ์แปลกประหลาด ซึ่งไม่เหมือนมะม่วงที่มีอยู่ปัจจุบันนี้ คุณเต็กกอจึงได้ทำการจดทะเบียน ภายใต้ชื่อ มะม่วงพันธุ์เต็กกอ 


เต็กกอ เกิดมาจากครอบครัวที่ไม่ได้ร่ำรวย พ่อแม่ทำอาหารโต๊ะจีน ได้รับการถ่ายทอดวิธีทำอาหารต่าง ๆ ต่อมาโต๊ะจีนเริ่มมีการแข่งขันแข่งขันมากขึ้น บวกกับว่าจังหวัดนครปฐม ขึ้นชื่อเรื่องการเลี้ยงสุกร ผมจึงได้คิดขยายการค้า และเริ่มมองวัตถุดิบที่หาได้ง่ายในนครปฐม คือ สุกร หรือเนื้อหมูนั่นเอง จึงเกิดการทำลูกชิ้นหมู ลองผิดลองถูกในการปรุง จนได้รสชาติที่ถูกปากคนกิน ถูกหลักอนามัยซึ่งไม่เหมือนลูกชิ้นที่อื่นทั่วไป และส่งไปตามสาขาทั่วประเทศไม่ลูกจ้างหรือคนงานเลยสักคนเดียว แต่ผมมีภรรยา 7 คน และลูก ๆ ช่วยกันทำ ไม่มีโรงงาน เราทำ
กิจการลูกชิ้นที่บ้านและช่วยเหลือกันลูกทุก ๆ คนไม่เคยทะเลาะกัน ผมบอกกับภรรยาทุกคน ตั้งแต่เรื่มตั้งท้องลูกคนแรก ว่าให้คิดว่าเด็กในท้องไม่ใช่ลูก แต่เป็นเด็กทั่วไป เพราะถ้าเขาสามารถคิดว่าลูกในท้องเป็นเด็กทั่วไป เขาก็จะรักเด็กทุกคนเท่ากันหมด ไม่ว่าจะเจอลูกใคร เขาก็รักเหมือนกัน ผมจะใช้ความจริงใจการดำเนินธุรกิจการค้า ไม่มีการโกหก และสอนให้ลูก ๆ ยึดหลักการบริหารและจริงใจต่อลูกค้า การบริหารธุรกิจประเภออาหาร ผมสอนลูกเสมอว่า ถ้าธุรกิจประเภทอาหารจะอยู่และเติบโตได้ ต้องขายคนอยาก อย่าขายคนหิว หมายความว่า คนที่อยากทานและชอบการบริการของร้านเรา ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ไกลเพียงใด ก็ต้องดิ้นรนไปทานให้ได้ ส่วนคนที่หิว ไม่ว่าเจออะไร อร่อยหรือไม่เพียงใด  เค้าก็ต้องกินไม่เลือก    

                ลูกชิ้นปลากรายลวกจิ้ม 
  

เฟอร์ดินานด์ มาเจลลัน  ฟีร์เนา ดี มากาลไยช์ หรือ เฟร์นันโด เด มากายาเนส 
เป็นนักเดินเรือชาวโปรตุเกส มีชีวิตอยู่ตรงกับรัชสมัยสมเด็จพระไตรโลกนาถและสมเด็จพระ-
รามาธิบดีที่2 แห่งกรุงศรีอยุธยา เขาเกิดที่เมืองซาบรอซา ทางภาคเหนือของประเทศโปรตุเกส 
หลังจากรับราชการทหารที่อินเดียตะวันออกและโมร็อกโก มาเจลลันได้เสนอตัวทำงานให้พระเจ้า
ชาลส์ที่ 1 แห่งสเปนเพื่อค้นหาเส้นทางเดินเรือทางทิศตะวันตกสู่ "หมู่เกาะเครื่องเทศ" (หมู่เกาะ
โมลุกกะในประเทศอินโดนีเซียในปัจจุบัน) เขาจึงได้รับสัญชาติสเปนด้วยมาเจลลันได้เดินเรือออก
จากเมืองเซบียาในปี พ.ศ. 2062 การเดินทางในช่วง พ.ศ. 2062-2065 ของเขาเป็นการเดินเรือ
จากมหาสมุทรแอตแลนติกเข้าสู่มหาสมุทรที่มาเจลลันตั้งชื่อว่า "แปซิฟิกเป็นครั้งแรก และยัง
เป็นการเดินทางรอบโลกครั้งแรกอีกด้วย แต่ตัวมาเจลลันเองไม่ได้เป็นผู้นำการเดินเรือรอบโลก
ตลอดเส้นทาง เนื่องจากถูกชนพื้นเมืองฆ่าตายที่เกาะมักตันในหมู่เกาะฟิลิปปินส์เสียก่อน 
(อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้มาเจลลันเคยเดินทางจากยุโรปไปทางตะวันออกสู่คาบสมุทรมลายูมา
แล้ว จึงเป็นนักสำรวจคนแรก ๆ ที่เดินทางข้ามเส้นเมอริเดียนเกือบทุกเส้นบนโลก) จากลูกเรือ 
237 คนที่ออกเดินทางไปกับเรือ 5 ลำ มีเพียง 18 คนที่สามารถเดินเรือรอบโลกได้สำเร็จและกลับ
ไปสเปนได้ในปี พ.ศ. 2065[1][2] นำโดยควน เซบัสเตียน เอลกาโน นักเดินเรือชาวบาสก์ซึ่งทำ
หน้าที่บัญชาการเดินเรือแทนมาเจลลัน ส่วนลูกเรือลำอื่น ๆ อีก 16 คนมาถึงสเปน
ในภายหลัง โดย 12 คนในจำนวนนี้ถูกโปรตุเกสคุมตัวที่หมู่เกาะเคปเวิร์ดระหว่าง พ.ศ. 2
068-2070 และอีก 4 คนเป็นผู้รอดชีวิตจากเรือตรีนีดัดที่เดินทางไปด้วย แต่เรือแตกในหมู่เกาะ-
โมลุกกะ ชื่อของมาเจลลันยังถูกนำไปตั้งเป็นชื่อของ "เพนกวินมาเจลลัน" ซึ่งเชื่อกันว่าเขาเป็น
ชาวยุโรป คนแรกที่ค้นพบ เมฆมาเจลลัน ซึ่งเขาสังเกตเห็นระหว่างการเดินเรือ ปัจจุบันเป็นที่ทราบ
กันแล้วว่าที่จริงเมฆนี้เป็นกลุ่มดาราจักรแคระใกล้กับดาราจักรทางช้างเผือก, "ช่องแคบมาเจลลัน
เส้นทางที่มาเจลลันใช้เดินเรือเข้าสู่มหาสมุทรแปซิฟิก และ "ยานมาเจลลัน" ยานสำรวจที่องค์การ
นาซาส่งไปสำรวจดาวศุกร์ในช่วงปี พ.ศ. 2533-2534

วันอังคารที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เป๊ปซี่เลิกผลิต

เป๊ปซี่เลิกผลิต

น้ำอัดลม

เสริมสุข เลิกผลิต เป๊ปซี่ ตั้งแต่ 1 พ.ย. นี้เป็นต้นไป ดันน้ำอัดลมแบรนด์ใหม่สู้โค้กแทน ขณะที่ เป๊ปซี่ ยังหาฐานการผลิตในไทยไม่ได้ คาด ขาดตลาดไปอีก 8 เดือน         จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของตลาดน้ำอัดลมในประเทศไทยกำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อ บริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) กำลังจะหมดสัญญาการจัดจำหน่ายเครื่องดื่ม "เป๊ปซี่" ในวันที่ 31 ตุลาคมนี้ ดังนั้น ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 เป็นต้นไป บริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) จะไม่ได้ผลิต "เป๊ปซี่" ให้กับบริษัท เป๊ปซี่-โคล่า (ประเทศไทย) จำกัด อีกต่อไปแล้ว โดยจะหันไปปั้นน้ำอัดลมแบรนด์ใหม่ออกมาช่วงชิงส่วนแบ่งทางการตลาดกับ โคคา โคล่า คู่แข่งรายสำคัญ ซึ่งคาดว่าจะเปิดตัวในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน
         ทั้งนี้ เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจ รายงานว่า ในช่วงเดือนที่ผ่านมา บริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) ได้ให้พนักงานแจ้งแก่ร้านอาหาร และร้านค้าต่าง ๆ ล่วงหน้าแล้วว่า จะไม่มี "เป๊ปซี่" มาวางจำหน่ายอีกต่อไปแล้วตั้งแต่สิ้นเดือนนี้ แต่จะนำน้ำอัดลมยี่ห้อใหม่มาจำหน่ายแทน อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ก็มองว่า ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ที่จะผลักดันแบรนด์ใหม่ให้ติดตลาดได้ เหมือนกับ "เป๊ปซี่" ที่ บริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) สามารถใช้ยุทธวิธีกระจายสินค้า พร้อมกับการทำเทรดโปรโมชั่น จนดันน้ำอัดลม "เป๊ปซี่" ที่มียอดจำหน่ายเป็นอันดับ 2 ของโลก ให้กลายเป็นน้ำอัดลมที่มียอดจำหน่ายมากที่สุดในประเทศไทย โดยครองสัดส่วนในตลาดประเทศไทยไม่ต่ำกว่า 70% คว่ำ "โค้ก" ผู้นำในตลาดโลกอย่างขาดลอย

         ขณะที่น้ำอัดลม "เป๊ปซี่" นั้น จนถึงขณะนี้ บริษัท เป๊ปซี่-โคล่า (ประเทศไทย) ก็ยังไม่สามารถหาฐานการผลิตใหม่ที่จะมาผลิตน้ำอัดลมแทน บริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) ได้ ล่าสุดจึงมีการแจ้งแก่ลูกค้าว่า น้ำอัดลม "เป๊ปซี่" ในเมืองไทยอาจจะขาดตลาดไปอีกประมาณ 8 เดือน หลังจาก บริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) ยกเลิกการผลิตตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายนเป็นต้นไป

วันอังคารที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

Three Gorges Dam


เขื่อน ที่ ใหญ่ที่สุดในโลก
เขื่อน ที่ ใหญ่ที่สุดในโลก ( Biggest Dam )
Three Gorges Dam เป็นเขื่อนผลิตกระแสไฟฟ้า ที่ ใหญ่ที่สุดใลก ก่อสร้างกั้นแม่น้ำแยงซี(Yangtze) ในจังหวัดฮูไบ(Hubei) ของประเทศจีน(China)

ข้อมูลเฉพาะ เขื่อน Three Gorges Dam เขื่อนที่ใหญ่ที่สุดในโลก

  • เรื่มก่อสร้างเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 1994
  • โครงสร้างเขื่อนสร้างเสร็จเมื่อปี 2006
  • ขณะนี้เขื่อนอยู่ระหว่างติดตั้งเครื่องกำเนิดไฟฟ้า(Generator) ขนาด 700 เมกะวัตท์ (MW) รวมทั้งสิ้น 32 เครื่อง คาดว่าจะผลิตกระแสไฟฟ้าได้ 22,500 MW
เขื่อนผลิตกระแสไฟฟ้า ที่ ใหญ่ที่สุดในโลก เขื่อนใหญ่
แน่นอนเมื่อเป็นเขื่อนผลิตกระแสไฟฟ้าก็ต้องมีเครือง Generator ซ้ายเป็นหลุมสำหรับติดตั้งเครื่อง Generator ( เครื่องผลิตกระแสไฟฟ้า ) รูปขวาเป็นรูปการยก Turbine engine น้ำหนักกว่า 1,700 ตันลงติดตั้งในหลุม ที่เห็นเป็นสีแดงอยู่รอบๆ คือคนงาน ( Turbine คือ กังหันเมื่อน้ำไหลผ่านเพื่ิอไปหมุนผลิตกระแสไฟฟ้า )

เขื่อนใหญ่ยักษ์ 
ภาพขณะติดตั้ง Turbine engine และหลังติดตั้งแล้วเสร็จ
  • ความยาวเขื่อน 2,335 เมตร
  • ความสูงเขื่อน 101 เมตร
  • ความกว้างที่ฐานเขื่อน 115 เมตร wowboom
  • ประมาณการค่าก่อสร้าง 1,365 ล้านล้านบาท ( 39 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ )
  • ความสามารถในการเก็บกักน้ำ 39.3 ลูกบาก์ศกิโลเมตร
  • พื้นที่ผิวน้ำกักเก็บ 1,045 ตารางกิโลเมตร ( ก็ประมาณจังหวัด สมุทรปราการทั้งจังหวัด จังหวัดสมุทรปราการมีพื้นที่ 1,004.1 ตารางกิโลเมตร)
 
รูปซ้าย ภาพถ่ายจากอากาศเขื่อน Three Gorges Dam จะเห็นทางที่น้ำไหลออกมาเป็นสาย เมื่อเทียบกับรูปขวา จะเห็นทางน้ำไหลมีขนาดใหญ่มากเมื่อเทียบกับคน

ได้หนึ่งเขื่อน ใหญ่ที่สุดในโลก แต่ เสียอีก หนึ่งใหญ่ที่สุดในโลก

เป็นที่น่าเสียดาย ที่การก่อสร้างเขื่อน Three Gorges Dam ขวางกั้นแม่น้ำแยงซี(Yangtze) เป็นอีกหนึ่งสาเหตุเร่งให้ปลา Paddlefish หรือที่ชาวจีนเรียกว่า ปลาดาบจีน ( Chinese Swordfish ) หรือบางท้องที่เรียกว่า แพนด้ายักษ์ แม่น้ำ (Giant Panda of the Rivers) หายไปจากแม่น้ำแยงซี และคาดว่าอาจจะสูญพันธุ์ ไปแล้ว ปลาดาบจีนนับเป็น 1 ในสายพันธุ์ ปลา ตัว ใหญ่ที่สุดในโลก ( ฺBiggest fish ) สายพันธุ์หนึ่ง

รูป นักท่องเที่ยวกำลังเดินผ่าน ปลา Chinese Paddlefish ที่จัดแสดงอยู่ที่สถาบันวิจัยปลาแม่น้ำแยงซีเกียง