วันอาทิตย์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2555

กางเกงยีนส์ Levi's



กางเกงยีนส์ Levi's
 เป็นหนึ่งในยี่ห้อของกางเกงยีนส์ที่มีอยู่ในแทบทุกตู้เสื้อผ้า แต่เบื้องหลังอันยาวนานของ กางเกงยีนส์ Levi's นั้น ยังมีเรื่องราวอีกหลากหลายที่เราไม่เคยรู้มาก่อน
กางเกงยีนส์ Levi's ทุกๆ 10 ตัว จะมี 1 ตัวที่ป้ายสีแดงเป็นสีแดงล้วน แถมยังไม่มีคำว่า Levi's แปะอยู่ด้วย ลองดูกางเกงยีนส์ Levi's ในตู้คุณดูนะคะ อาจจะเป็น 1 ในตัวนั้นก็เป็นได้!


ค.ศ. 1980 และ 1984 Levi's เป็นเครื่องแต่งกายอย่างเป็นทางการของการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก


ค.ศ. 1958 Levi's ออกกางเกงรุ่น Spikes เป็นกางเกงผ้าฝ้ายขัดมันสำหรับผู้ชายและเด็กผู้ชาย โดยมี 3 สี เหลืองมะนาว เขียว และส้ม โดยเป็นสีที่เหมือนกับขนมเจลาตินชื่อดังเป๊ะๆ
เชื่อหรือไม่ว่า ลีไว สเตราส์ ไม่เคยใส่กางเกงยีนส์เลยในชีวิตของเขา ในปี ค.ศ. 1873 เป็นปีแรกที่กางเกง Levi's ถูกผลิตขึ้น มันเป็นกางเกงสำหรับคนใช้แรงงาน ไม่ใช่กางเกงสำหรับนักธุรกิจ แต่สเตราส์ก็ยืนยันว่า กางเกงที่เขาผลิตขึ้นนั้นเป็นกางเกงที่มีคุณภาพเยี่ยม ถึงแม้ว่าจะเป็นกางเกงสำหรับใช้ทำงานแบกหามก็ตาม

ในสำนักงานใหญ่ของ Levi Strauss & Co. ในซานฟรานซิสโก มีฉนวนกันความร้อนที่ทำมาจากกางเกงยีนส์รีไซเคิลจำนวน 25,500 ตัว

1969 ปีของขากระดิ่ง! Levi's ผลิตกางเกงยีนส์ขากระดิ่งออกมาครั้งแรกในปี 1969 เริ่มแรกมันทำจากผ้าเดนิม ต่อมาก็ทำจากผ้าหลากหลายชนิดต่างกันออกไป
ที่ตึกสำนักงานใหญ่ของ Levi's ในซานฟรานซิสโก มีสถานที่ที่เรียกว่า The Vault มันเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ที่ผู้เข้าชมสามารถเลือกชม กางเกงยีนส์ Levi's รุ่นต่างๆที่ปรากฏอยู่ในภาพยนตร์เรื่องดัง หรือ กางเกงยีนส์ Levi's ของดาราฮอลลีวูดชื่อดัง พิพิธภัณฑ์นี้ไม่เสียค่าเข้าชมใดๆ


ผลิตภัณฑ์ตัวแรกที่ Levi Strauss & Co. ผลิตขึ้นมาโดยเฉพาะสำหรับผู้หญิง เรียกว่า รุ่น "Freedom-Alls" เป็นชุดติดกันที่สามารถใส่ทำงานและเทียวเล่นได้ในเวลาเดียวกัน



คนรุ่นแรกๆที่ได้ใส่กางเกง Levi's คือ กลุ่มคนใช้แรงงาน รวมทั้งคนงานเหมืองในรูปนี้ด้วย โดยรูปนี้ถ่ายที่แคลิฟอร์เนีย ในปี 1882
กางเกง Levi's ถูกเรียกว่า overalls จนกระทั่งถึงยุค 60 มันจึงถูกเรียกด้วยคำที่ทันสมัยกว่า ว่า ยีนส์ (jeans)

 

กางเกงยีนส์ Levi's ที่มีฉายาว่า  "XX" ตัวนี้ เป็นกางเกงยีนส์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก มันถูกผลิตขึ้นใน ค.ศ. 1879 มันถูกเก็บไว้ในเซฟที่กันไฟได้ที่บริษัท Levi Strauss & Co. ในซานฟรานซิสโก ราคาของมันสูงถึง 150,000 ดอลลาร์!

วันเสาร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2555

เอามาฝากเพื่อนๆๆ ก่อนสอบบ

บทพิสูจน์ความแกร่ง แห่งเพชรแท้


ความแน่วแน่ที่จะไป...ให้ถึงฝัน


จะย่อท้อหวั่นไหว ทำไมกัน


หวังและวันแห่งเส้นชัย...ไม่ไกลเกิน

ประวัติช็อกโกแลต (Chocolate)


ช็อกโกแลต ถูกค้นพบมาตั้งแต่2000ปีที่แล้ว หลังสมัยพระนางคลีโอพัตราแห่งอียิปต์ เป็นผลผลิตที่ได้จากเมล็ดของต้นคาเคา (cacao) ในป่าร้อนชื้นของทวีปอเมริกา จัดอยู่ในตระกูล Theobroma cacao แปลว่า “อาหารแห่งทวยเทพ”
ชนกลุ่มแรกที่รู้จักทำช็อกโกแลตเป็นอารยธรรม โบราณที่อยู่ในเม็กซิโก และอเมริกากลาง ชนกลุ่มนี้ได้แก่ชาวมายา และชาวแอซเทค แห่งอารยธรรมเมโสอเมริกา คนเหล่านี้เอาเมล็ดคาเคามาบดแล้วผสมกับเครื่องปรุงหลายชนิดเพื่อทำเป็น เครื่องดื่มที่มีรสขมเฝื่อน นอกจากใช้ประกอบอาหารแล้วช็อกโกแลตยังเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตเชิงศาสนาและ สังคมด้วย
ชาวมายา (ค.ศ. 250-900) เป็นชนชาติแรกที่มีหลักฐานชัดเจนว่าได้ค้นพบความลับของต้นคาเคา โดยพวกเขาได้นำต้นคาเคามาจากป่าฝนและปลูกไว้ที่สวนหลังบ้าน พอออกฝักก็เก็บเอาเมล็ดมาหมักบ้าง คั่วบ้าง และยังบดเป็นเนื้อเหนียว อยากชงเป็นเครื่องดื่มก็เอามาผสมน้ำ โรยพริกไท แป้งข้าวโพด ก็จะได้เครื่องดื่มช็อกโกแลตรสซาบซ่ามีฟองฟ่อง
ต่อมาราวคริสต์ศตวรรษที่ 14 อาณาจักรของชาวแอซเทคครอบครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของอารยธรรมเมโสอเมริกา โดยมีเมืองหลวงตั้งอยู่ที่เมืองปัจจุบันเรียกว่า เม็กซิโก ซิตี้ ชาวแอซเทคได้ซื้อขายเมล็ดคาเคากับชาวมายาและชนชาติอื่น และยังเรียกเก็บค่าบรรณาการจากพลเมืองของตนและเชลยเป็นเมล็ดคาเคา โดยใช้แทนค่าเงิน ชาวแอซเทคนิยมดื่มช็อกโกแลตขมเช่นเดียวกับชาวมายายุคแรก โดยปรุงรสชาติให้ซู่ซ่าขึ้นด้วยเครื่องเทศ ชาวเมโสอเมริกาสมัยนั้นยังไม่มีใครปลูกอ้อยก็เลยไม่มีใครใส่น้ำตาลกัน
เล่ากันว่า คนมายายุคคลาสสิกชอบดื่มช็อกโกแลตกันในวาระพิเศษ ขณะที่บรรดาเชื้อพระวงศ์จะนิยมดื่มกันมาก ส่วนชาวแอซเทค บรรดาผู้ปกครองระดับสูง พระ ทหารยศสูง และพ่อค้าที่มีหน้ามีตาเท่านั้นที่มีสิทธิลิ้มรสเครื่องดื่มศักดิ์สิทธิ์นี้ ช็อกโกแลตมีบทบาทสำคัญในพิธีของราชวงศ์และศาสนา เพราะใช้เมล็ดคาเคาเป็นเครื่องสักการะเทพเจ้า และดื่มในพิธีสำคัญ สำหรับที่มาของชื่อช็อกโกแลตนั้นยังไม่มีใครอธิบายได้แจ่มชัด แต่มีความเป็นไปได้สองทาง ทางแรกเป็นคำที่ผันมาจากคำว่า “ช็อคโกลัจ” ในภาษามายา ซึ่งหมายถึง มาดื่มช็อกโกแลตด้วยกัน อีกทางหนึ่งอธิบายว่าน่าจะมาจากภาษามายาเช่นกัน คือ ” chocol” แปลว่า ร้อน ผสมกับคำว่า “atl” ของแอซเทคที่แปลว่า น้ำ พอมารวมกันจึงกลายเป็นคำว่า chocolatl และมาเป็น chocolate ต่อมาในยุโรป
ประโยชน์ของช็อกโกแลต
1.ป้องกัน การเกิดมะเร็ง
เพราะได้พิสูจน์พบแล้วว่า สารที่พบในช็อกโกแลตเป็นสารชนิดเดียวกันกับ สารที่พบใน ผัก ผลไม้ และไวน์แดง
2. ให้ช่วยคลายเครียด
ช็อกโกแลตมีสารกระตุ้นระบบประสาท ทำให้สมองผ่อนคลาย และยังมีเซโรโทนินซึ่งเป็นสารสร้างความสุข ทำให้อารมณ์ดี ยิ่งกินยิ่งHappy
3.ช่วยปรับอารมณ์ และจิตใจ ให้เข้าสู่สภาวะปกติ
เหมาะมากสำหรับสาวๆ ที่เลือดจะไปลมจะมาทั้งหลาย ฉะนั้นช็อกโกแลตจึงถือได้ว่าเป็นขนมหวานอันดับหนึ่งสำหรับผู้หญิงเลย ช่วยลดอาการปวดท้อง หงุดหงิด หน้าบวม ตัวบวม ก่อนมีประจำเดือนอย่างได้ผล
4.ช่วยแก้อาการเมาค้าง
ช็อกโกแลตช่วยแก้อาการเมาค้าง หรือ hangover ได้ด้วย
5.ลดอัตราการเกิดโรคหัวใจ
เพราะในตัวช็อกโกแลตนั้นมีสารที่ชื่อว่าฟีโนลิคอยู่ในปริมาณสูงซึ่งฟีโนลิ คเป็นสารซึ่งช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระป้องการก่อตัวของไขมันในเส้นเลือดงและ ที่สำคัญยังช่วยให้แก่ช้าได้อีกด้วย
6.ช่วย ลดอาการอักเสบ
ช็อกโกแลตช่วยลดอาการอักเสบ เวลาเจ็บป่วยต่างๆ มีผลต่อสมอง เพราะช่วยให้ตื่นตัว และยังช่วยให้ กระฉับกระเฉงอีกด้วย
7.ไม่มีผลต่อระดับคอเรสเตอรอล
มีไขมันอิ่มตัว ปกติไขมันอิ่มตัวเป็นไขมันร้าย ที่เป็นอัตรายต่อร่างกาย ทำให้ระดับคอเรสเตอรอลในเลือดสูง แต่ยกเว้นไขมันใชช็อกโกแลต ถึงแม้จะเป็นไขมันอิ่มตัวเหมือนกัน แต่นักวิจัยยืนยันว่า….ไม่มีผลต่อระดับคอเรสเตอรอลเลย
8.ช็อกโกแลตเป็นมิตรกับฟัน
แม้ว่าของหวานจะเป็นตัวการทำให้ฟันผุ แต่สำหรับช็อกโกแลตนั้น เป็นข้อยกเว้น เพราะช็อกโกแลต ละลายได้ในน้ำลาย จึงไม่เหลือคราบติดที่ฟัน และยังมีกรดแทนนินซึ้งช่วยยับยั้ง การเกิดแบคทีเรียที่ทำให้ฟันผุด้วย

น้ำมะนาวร้อนดื่มดีช่วยล้างพิษ


ปกติแล้วคนส่วนใหญ่จะชอบดื่มน้ำมะนาวเย็น แต่รู้หรือไม่ว่าการดื่มน้ำมะนาวแบบร้อนก็มีประโยชน์มากเช่นกัน เพราะการผสมน้ำมะนาวกับน้ำร้อน นอกจากจะมีปริมาณแคลอรี่ต่ำแล้ว ยังช่วยล้างพิษได้ดี
โดยน้ำมะนาวร้อนจะช่วยบำรุงตับให้ผลิตน้ำดีออกมาช่วยในการย่อยอาหารให้เร็วขึ้น และยังช่วยขับของเสียที่คั่งอยู่ในท้อง ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการบวมท้องลดลงอีกด้วย เพื่อให้ได้ผลดีที่สุด ควรดื่มก่อนมื้ออาหาร หรือดื่มทันทีหลังจากตื่นนอนตอนเช้า เพื่อทำให้ร่างกายสดชื่นไปในตัว

วันศุกร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2555

ลาก่อนเขียวหวานไก่…ฝรั่งจดอ้างสิทธิ์


ไม่น่าเชื่อ…ว่าความอร่อยจาก “แกงเขียวหวานไก่” อาหารไทย ที่เรากินกันอยู่ทุกวัน กำลังได้รับความนิยมไปแล้วทั่วโลก โดยเฉพาะในญี่ปุ่น จนกลายเป็นกระแสเรียกว่า ”Green Curry Fever” ส่งผลให้ยอดส่งออกพุ่งขึ้นมากถึง 100 ล้านบาท ขึ้นอันดับหนึ่ง เอาชนะแกงกะหรี่ ยอดฮิตไปแล้ว!!
นอกจากนี้ ยังเป็นเมนูอันดับหนึ่งในร้านอาหารไทยกว่า 7,000 แห่งในอเมริกา สูสีกับต้มยำกุ้ง จนติด CNN Top 50 อาหารนานาชาติ ที่อร่อยที่สุดในโลก แต่…จากนี้ไป มันจะไม่ใช่ของคนไทย จะกลายไปเป็นของฝรั่งแล้ว โดยแหล่งข่าวเบื้องต้นอ้างว่า…นาย John stephen mayor เชฟชื่อดังชาวอเมริกัน ผู้ได้รับสิทธิบัตรสูตรอาหารมากมาย จากทั่วโลก จะแจ้งยื่นขอจดสิทธิบัตรแกงเขียวหวานไก่ ไปเป็นของเขาเอง โดยเขาให้สัมภาษณ์ว่า…
” ผมจดสิทธิบัตรอาหารมาแล้วทั่วโลก คราวนี้ถึงตาอาหารไทยละ ผมชื่นชอบรสชาติของแกงเขียวหวานไก่มานานแล้ว มันมีชื่อเสียงและได้รับความนิยมมาก แต่จากนี้…มันจะเป็นของคนอเมริกัน ”
และนี่คือ อีกหนึ่งภูมิปัญญาไทยที่ถูกชาวต่างชาติเอาเปรียบ เช่นเดียวกับกรณีของข้าวหอมมะลิและรถตุ๊กตุ๊ก ที่ถูกต่างชาติ จดสิทธิบัตรไปเป็นของพวกเขาแล้ว…